หนึ่งในกุญแจสำคัญของการทำกำไรบนเว็บไซต์หรือบล็อก คือ การเลือก Niche ให้เหมาะสม การเลือก Niche จะช่วยสร้างสร้างความแตกต่าง ระหว่างการเขียนบล็อกในเชิงงานอดิเรกกับการเขียนในเชิงธุรกิจ Niche ที่เลือกมาอย่างดี จะไม่ค่อยมีคู่แข่ง แถมมี Affiliate Program ให้เลือกมากมาย ทำให้ขั้นตอนการสร้างกิจการออนไลน์ทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างราบรื่น สาเหตุที่หลายคนประสบปัญหาจนไปต่อไม่ได้ เป็นผลมาจากการเลือก Niche ที่ไม่เหมาะสม
Niche Website หมายถึง หัวข้อเฉพาะที่จะมาเป็นหน้าเป็นตาให้กับเว็บไซต์ของคุณ Niche จะเป็นตัวกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เองโดยอัตโนมัติ โดยจะเป็นกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องนั้นจริง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว Niche นั้น ถูกแบ่งออกเป็น Sub-Niche ( บางครั้งเรียกว่า Niche within Niche หรือกลุ่มที่อยู่ในกลุ่มเฉพาะอีกที ) เพื่อให้มือใหม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
กฎที่ว่า "ยิ่งเยอะยิ่งดี" ไม่ส่งผลดีในการเลือก Niche เพราะการพยายามดึงดูดใจผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น อาจทำให้ล้มไม่เป็นท่า เนื่องจากในทางปฏิบัติแล้ว นี้หมายถึง ทุกคนคือเป้าหมาย หรือก็คือไม่มีเป้าหมายตั้งแต่แรก จะเป็นใครหน้าไหนก้ได้ เพราะไม่ได้ระบุเป้าหมายให้ชัดเจน เห็นไหมว่า สิ่งที่ครุมเครือและไม่ระบุอะไรให้เป็นพิเศษนั้น ไม่ช่วยอะไรเลย แถมจะเสียเวลาเปล่า คุณต้องมี Niche ( ที่มีเป้าหมายชัดเจน ) เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและส่งสารไปให้ผู้อ่านของคุณตอบสนอง สิ่งที่ต้องทำ คือการสร้างชื่อในตลาดเป้าหมาย เพื่อเพิ่มผู้เข้าชม เพิ่มความเชื่อมั่น และการพูดถึงที่เยอะขึ้น มีตั้งแต่การรีวิวสมูทตี้จนไปถึงอุปกรณ์ซอฟต์แวร์หรือกอล์ฟ การมีตัวเลือกมากมายจะส่งผลให้คุณและใครอีกหลายคนติดอยู่ที่ขั้นตอนนี้
เหตุผลหลักคือ:
สิ่งที่แย่ที่สุด คือการไม่รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี นี้อาจเป็นปัญหาสำหรับเว็บไซต์ที่มี Niche กว้างเกินไป ในทางตรงกันข้าม Niche ที่แคบกว่า ทำให้คุณมีโอกาสโฟกัสในสิ่งที่ต้องการและความสนใจแบบเฉพาะเจาะจงของผู้อ่าน อีกส่วนที่สำคัญ คือคู่แข่ง ถ้าหากคุณมีต้นทุนไม่จำกัดและสามารถจ้างกลุ่มนักเขียนเก่ง ๆ ได้ ถือว่าเยี่ยมมากเลย
แต่ทว่า นักเขียนบล็อกและเจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่นั้น มีงบที่จำกัด พวกเขาจึงเลือกทำงานส่วนใหญ่ด้วยตัวเองมากกว่า ตามหลักแล้ว Niche ที่ไม่มีคู่แข่งนั้นแทบไม่เป็นไปไม่ได้ แต่ Niche ที่เล็กลงจะทำให้คุณสร้างชื่อและกำไรจากเว็บไซต์ได้เร็วกว่า คุณจะเสียเงินน้อยกว่าในการตั้งกลุ่มเป้าหมายที่จำเป็น ยิ่งคุณเจาะจงมากเท่าไร คุณก็ยิ่งเปลี่ยนผู้อ่านให้กลายเป็นลูกค้าได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น
ตัวอย่าง : สมมุติคุณเป็นคนรักเทนนิสและมีประสบการณ์อยู่บ้างนิดหน่อยในกีฬานี้ ดีล่ะ คุณสามารถเริ่มเขียนลบ็อกที่เน้นกีฬาหรือโฟกัสให้กับเทนนิสเป็นหลัก แนะนำอย่างยิ่งว่า ควรเริ่มกับหัวข้อที่แคบกว่า และสามารถขยายกรอบให้กว้างขึ้นได้ในภายหลัง เมื่อคุณมีเป้าหมายเป็นคนรักเทนนิสและสร้างชื่อในสายนี้แล้ว ผู้คนจะเชื่อถือคุณและทำตามคำแนะนำของคุณในแง่ของอุปกรณ์เทนนิสและเครื่องแต่งกาย โค้ช โปรแกรมการฝึกซ้อม และฟิตเนส หลังเวลาผ่านไป คุณอาจโฟกัสกีฬาชนิดอื่นเพิ่ม
ใช่แล้วเว็บไซต์ Niche คือการโฟกัสในส่วนที่แคบลงของตลาด (หรืออุตสาหกรรม) โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างรายได้ มีวิธีเยอะแยะในการทำเงินผ่านเว็บไซต์ ซึ่งรวมไปถึง Google AdSense, Affiliate Program, คอนเทนต์สปอนเซอร์, การขายสินค้าและบริการ ฯลฯ เราจะคุยเรื่องการสร้างรายได้ข้างล่าง แต่ขอบอกตามตรง หัวข้อนี้ควรมีบทความเฉพาะแยกออกมาต่างหาก วันนี้ส่วนใหญ่เราจะคุยเกี่ยวกับการเลือก Niche Website ทำกำไรในปี 2022
คุณจำเป็นต้องมี Niche ที่ไม่ใช่แค่น่าสนใจแต่ต้องทำกำไรได้ด้วย เราทุกคนรู้กันดีว่าไม่มีธุรกิจไหนประสบการณ์แน่นอน 100% รวมไปถึงธุรกิจออนไลน์ ดังนั้นมาดูกันว่าเครื่องมืออะไรที่คุณสามารถใช้เป็นตัวกำหนดเป้าหมายในระหว่างที่เลือก Niche ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
เมื่อเราพูดเกี่ยวกับการทำให้หัวข้อแคบลง เราหมายถึง Niche ที่ซ้อนอยู่ใน Niche อีกที ซึ่งจริง ๆ แล้ว Niche ส่วนใหญ่คือตัวแทนของอุตสาหกรรมนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การท่องเที่ยว, กีฬา และการเงิน ต่างเป็น Niche ของอุตสาหกรรมทั้งนั้น อุปกรณ์เสริมออกกำลังกายเทนนิสคือ Niche ที่ซ้อนอยู่ใน Niche ที่มีคู่แข่งน้อยกว่า และมีความเป็นไปได้สูงในการทำเงินที่เร็วกว่า
สรุปตัวเลือก Niche:
ในหนังสือ Will It Fly ของ Pat Flynn ได้มีสมการแห่งความสำเร็จที่ว่า : ตัวคุณ + ไอเดีย + การตัดสินใจ = การประสบความสำเร็จ Pat คงรู้ดีในเรื่องธุรกิจ เพราะงั้นเราจะไม่ถามเรื่องสมการของเขา
บางไอเดียก็เป็น Evergreen Niche หรือกลุ่มเป้าหมายที่มีความสดใหม่ตลอด คุณสามารถเริ่มคิดจากตรงนี้ แล้วค่อยทำให้แคบลงเพื่อให้เจาะจงมากขึ้น คุณยังสามารถลองคิดไอเดียแบบเอามา Crossover กัน ซึ่งถ้าคิดดี ๆ อาจขยายเป้าหมายของคุณ ข้างล่างคุณจะพบรายชื่อไอเดียของ Niche สำหรับเว็บไซต์ที่ทำเงินได้ดีที่สุด
ถ้าหากคุณศึกษาในเรื่องของการเงินมาเป็นอย่างดี ถือว่าเยี่ยมมาก แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม Niche ของการเงิน คุณอาจแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับการจัดการบริหารเงินส่วนตัว เช่น เงินกู้ หรือการลงทุน คุณอาจสนใจในเว็บไซต์ที่โฟกัสกับบัตรเครดิต ทำให้แคบลงมาเป็นจุดเริ่มต้นของ Sub-Niche อย่างเช่น บัตรพิเศษสำหรับนักศึกษา เว็บมาสเตอร์บางคนชำนาญ Affiliate Program และได้รับคอมมิชชั่น Affiliate จากการโปรโมตบัตรเครดิตบางชนิด ตัวอย่างเช่น นักเขียน Blog ที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง Matthew Kepnes (Nomadic Matt) มีข้อเสนอให้ผู้อ่านบทความของเขาที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิต
แน่นอนว่าเขาเข้าร่วม Affiliate Program หลายตัวและได้ประโยชน์จากคอนเทนต์ ทั้งหมดจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าหากเขารีวิวแบบพื้น ๆ การไฮไลต์ข้อดีและข้อเสียของบัตรหลายใบ และแชร์ประสบการณ์จากการใช้งานบัตรเหล่านั้นของตัวเอง
มีความเป็นไปได้อื่นมากมายที่จะสร้างเว็บไซต์ของ Niche ที่เกี่ยวกับการเงิน หากพิจารณาหัวข้อของการออมเงินให้เป็นหนึ่งในปัญหาความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของทุกคนนั้นไม่ใช่การหาเงิน หากแต่เป็นการออมเงิน
ตัวอย่าง :
พวกเราหลายคนต่างดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นี้คืออุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต มีคอร์สสอนและไลฟ์โค้ช บทความเกี่ยวกับทัศนคติที่ดีในชีวิต และคุณภาพของชีวิตที่ดีกว่ามากมายก่ายกอง ถ้าหากคุณเข้าใจทัศนคติของการพัฒนาตัวเอง และพร้อมที่จะแชร์ความรู้ความเข้าใจกับผู้คน งั้นตอนนี้คุณควรรีบเริ่มสร้างเว็บไซต์เลยเพราะคู่แข่งกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวอย่าง :
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความรู้สึก ความสัมพันธ์ทางสังคมในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรักใคร่ หรือมิตรภาพต่างก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นที่ต้องการ
ตัวอย่าง :
เมื่อก่อน บล็อกการใช้ชีวิตถูกนับว่าเป็นของตกเทรนด์ แต่ตอนนี้กลับมาติดอันดับอีกครั้ง จึงควรพูดว่าเว็บไซต์และ Blog ที่เน้นการใช้ชีวิตมักมีการ Crossover ระหว่างสองสาม Niche ทำให้แน่ใจว่าผู้คนนั้นให้ความสนใจในการใช้ชีวิตที่คุณมีแผนจะแชร์กับพวกเขา จำเอาไว้ว่า เพื่อสร้าง Traffic คุณควรตอบคำถามที่ผู้คนมีและช่วยพวกเขาแก้ปัญหาบางอย่าง อีกนัยหนึ่งคือคุณต้องเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตพวกเขา
ตัวอย่าง :
หนึ่งในสิ่งที่มีอิทธิพลที่สุดและมีคู่แข่งเยอะ การใช้ Keyword ที่เหมาะสมในการค้นหา อาจช่วยให้คุณได้หัวข้อที่แคบลงและคู่แข่งที่น้อยลง เห็นได้ชัดว่าลักษณะสำคัญของความงามและแฟชั่นคือภาพลักษณ์ เพราะฉะนั้น Instagram, Pinterest และช่อง YouTube จึงเป็นตัวเสริมที่ดีเยี่ยมให้กับเว็บไซต์
ตัวอย่าง :
กิจวัตรประจำวันและงานบ้านทำเราต่างเบื่อหน่าย เพื่อการผ่อนคลาย เราอ่านข่าวดารา, ข่าวธุรกิจ และข้อมูลต่าง ๆ ที่สนุก ซึ่ง Niche ประเภทนี้มีคู่แข่งเยอะ ถ้าหากคุณตัดสินใจมาทางนี้ ต้องเลือก Sub-Niche ให้ดีเพื่อที่ให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
ตัวอย่าง :
นี้คือหนึ่งใน Niche ที่เป็นแบบ Evergreen และทำกำไรได้เรื่อย ๆ เพราะยังไงคุณก็ขาดอาหารไม่ได้หรอกจริงไหม ในฐานะนักเขียนบล็อกอาหาร คุณอาจได้ไอเดียที่หลากหลาย จะว่าไป Niche ด้านอาหารสามารถใช้นำเสนอได้ดีเลยบน Pinterest — ผู้คนที่ค้นหาไอเดียเรื่องอาหารแล้วเจอบน Pinterest พวกเขาจะตามลิงก์มาเพื่ออ่านสูตร หรือบทความบนบล็อก
เราอยากลืมเรื่องการระบาดที่ทำให้ผู้คนต้องกินอาหารอยู่บ้านกันมากขึ้น Blog กับเว็บไซต์ด้านของกินและการทำอาหารจึงได้เห็นการเติบโตของ Traffic ที่สุดยอดมากในปี 2020 สามารถเป็นแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับอาหาร เชี่ยวชาญในเครื่องครัวและรีวิวอุปกรณ์ คุณต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับ Wirecutter แพลตฟอร์มที่เสนอการรีวิวเกี่ยวกับของใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์ทำอาหารเกือบทุกชนิด คุณสามารถสร้างเว็บไซต์คล้าย ๆ กันโดยเน้นไปที่ประเภทของสินค้าบางชนิด ( เครื่องอบขนมปัง, เครื่องปั่น, เครื่องสับ, ฯลฯ )
ตัวอย่าง :
นี้เป็น Niche ใหญ่ที่มีโอกาสไร้ขีดจำกัด ตามจริงแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำหัวข้อเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องเลือกอันที่โดนมองข้ามและมีความน่าสนใจเพื่อให้คุณได้โฟกัสใน Sub-Niche ปี 2020 ยอดขายของตัวช่วยติดตามการออกกำลังกาย ยางยืดออกกำลังกาย และอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านพุ่งสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน นี้เป็นความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมที่มอบโอกาสความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดในการสร้างรายได้ ในขณะเดียวกัน Google ก็จริงจังมากในเรื่องของการแนะนำที่เกี่ยวกับสุขภาพ เพราะเว็บมาสเตอร์และนักเขียน บล็อกหลายคนมักชี้นำผู้เข้าชมแบบผิด ๆ เพียงเพื่อจะขายสินค้า Affiliate ที่น่าสงสัยในเรื่องของคุณภาพ
ตัวอย่าง :
เหล่าผู้ที่ชื่นชอบกีฬาจ่ายหนักอยู่แล้วสำหรับของที่เกี่ยวกับกีฬา คุณอยากมีเว็บไซต์เพื่อทำรายได้ งั้นคุณต้องเลือกกีฬาที่มีราคาสูงอย่างเช่น กอล์ฟ, ไคท์เซิร์ฟ, กีฬาพายเรือ, ปั่นจักรยาน หรือเทนนิส ดูนะว่าไม้เทนนิสหนึ่งอันราคาประมาณ $200 ราคาของรองเท้าเทนนิสคือประมาณ $100 เพิ่มเอ็น, เสื้อผ้า ฯลฯ ส่วนการตีกอล์ฟและไคท์เซิร์ฟจะต้องใช้อุปกรณ์ที่แพงยิ่งกว่านี้อีก เมื่อคุณสร้างเว็บไซต์ Niche ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาบางชนิดได้แล้ว คุณจะสามารถสร้างรายได้งามผ่านการ Affiliate Marketing
ตัวอย่าง :
เป็นลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ยอดนิยมและมีอยู่ตลอด สามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายหมวดหมู่ที่เน้นไปในเรื่องของการเรียนออนไลน์, เทคนิคการเรียน, คอร์ส ฯลฯ
ตัวอย่าง :
อีกสิ่งหนึ่งที่มาแรงเสมอและสะท้อนไปทั่วโลก เพราะถือว่าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ การอบรมเลี้ยงดูจำเป็นต้องมีทักษะและความรู้ความเข้าใจ จะหาทางออกอย่างไรในช่วงแรกของการมีลูก ถ้าไม่ศึกษาดูจาก Forum หรือบล็อก ?
เราต่างต้องการให้ลูกโตมามีสุขภาพที่ดี ฉลาด, มีความคิดสร้างสรรค์ และได้รับการศึกษา เราถึงท่องไปทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาคำตอบของปัญหาที่เจอ คุณสามารถเขียนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กอ่อน, แชร์เคล็ดลับการเลี้ยงดู และโปรโมตสินค้าบางตัวที่คุณคิดว่าดีมีประโยชน์ ผู้คนต่างอยากรู้ว่าไม่ใช่แค่พวกเขาที่มีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ
ตัวอย่าง :
เป็น Niche ที่น่าสนใจและน่าติดตามมากสำหรับการเขียนบล็อก ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างเยอะไปหน่อยด้วย คุณต้องสร้างความแตกต่าง เสนอและเล่าในสิ่งที่แปลกใหม่เพื่อให้ผู้คนสนใจ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจาก Covid คุณอาจโฟกัสในเรื่องของตั๋วลดราคาของโรงแรมที่ดีที่สุดและอื่น ๆ
ตัวอย่าง :
ผู้คนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสัตว์เลี้ยงของพวกเขา เพื่อให้ได้ของดี ๆ อย่าง ( อาหาร, อาหารเสริม, ที่นอน, ฯลฯ ) และบริการ ( ตัดแต่งขน, ฝึก, บริการของสัตวแพทย์, ฯลฯ ) เว็บไซต์/บล็อก สามารถโฟกัสที่สายพันธุ์เฉพาะ หรือสินค้าและบริการบางประเภท
ตัวอย่าง ถ้าหากเรามีสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์ และรู้เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะและความต้องการของพันธุ์นี้เป็นอย่างดี เราควรเริ่มที่เว็บไซต์ Micro-Niche เล็ก ๆ โดยเน้นที่พันธุ์ของมาสทิฟฟ์
อีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีไม่แพ้กันหรืออุปกรณ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง แบบของที่มีเทคโนโลยีล้ำ ๆ ( เช่น ปลอกคอสุนัขที่มี GPS ติดตาม ) สำหรับสัตว์ที่ราคาสูง ทำให้คอมมิชชั่นของ Affiliate ที่มีอยู่ 5-10% ส่งผลได้รับรายได้มหาศาล ยกตัวอย่าง ด้วยคอมมิชชั่น 20% กับอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงราคา $150 คุณจะได้ $30 ต่อการขาย
ตัวอย่าง :
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ DIY, งานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์อาจกลายเป็น Sub-Niche ย่อม ๆ ให้กับเว็บไซต์ อีกเรื่องหนึ่ง ปัญหาทั่วไปที่เราเจออยู่บ่อยครั้งก็คือจะให้ของขวัญอะไรดี ในชีวิตประจำวัน เราต้องจัดการกับวันหยุดหลายประเภท วันครบรอบและการฉลองอย่าง ( วันเกิด, งานหมั้น, งานแต่ง, วันแม่, วันพ่อ, ปีใหม่, คริสต์มาส, ฯลฯ )
หากคุณเปิด Google คุณจะพบว่า 'ไอเดียของขวัญ' เป็นคำค้นหายอดนิยม นับว่าเป็น Niche ที่ไม่ค่อยถูกมองแต่มีโอกาสความเป็นไปได้เยอะมาก เช่น ของขวัญวันเกิด DIY, ของขวัญสุดพิเศษในวันเกิดแม่, ของตกแต่งของขวัญวันคริสต์มาส DIY และอื่น ๆ ของตกแต่งบ้านเป็นหัวข้อที่ใช้ได้ตลอดเสมอ
ผู้คนจริงจังกันมากเวลาตกแต่งบ้าน ไม่ใช่เพื่อให้บ้านน่าอยู่ แต่ยังต้องดูดีและมีสไตล์ คุณจึงสามารถช่วยพวกเขาได้ โดยการเสนอแนวทางในการเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นที่ที่ใช้งานได้จริงและมีความสวยงาม
ตัวอย่าง :
ปัญหายุคใหม่ ก็ต้องแก้วิถีของคนยุคใหม่ และโอกาสความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ผู้คนหลายคนต้องการเรียนรู้วิธีสร้างรายได้ออนไลน์ และสรรหาแหล่งทำเงินที่เป็น Passive Income เว็บมาสเตอร์และนักการตลาดมืออาชีพจึงเป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน
เลือก Sub-Niche ที่คุณคุ้นเคย แชร์ประสบการณ์ สร้างบทเรียนหรือทำ Ebook และจัดการสัมมนากับผู้เข้าชม เพิ่มเติม คุณอาจโปรโมตเว็บไซต์ที่ให้บริการโฮสติ้ง และเครื่องมือสำหรับ Digital Marketing ดี ๆ ผ่าน Affiliate Program สำคัญ: เพื่อให้โดดเด่นใน Niche นี้ คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณนั้นรู้จริง – แจ้งรายได้และกรณีศึกษานั้นมีประโยชน์ในการสร้างความเชื่อถือ
ตัวอย่าง :
มีโอกาสเยอะมากในการแข่งขันอันดุเดือดของ Niche นี้ หากคุณเป็นกูรูสายนี้ หา Sub-Niche ที่น่าสนใจแล้วลุยเลย ผู้คนต้องอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และแอปก่อนดาวน์โหลดมาใช้
หลายธุรกิจเสนอสินค้าแบบ SaaS ( บริการซอฟต์แวร์ ) จากเครื่องมือธรรมดาไปจนถึงส่วนยาก ๆ สำหรับการจัดการโปรเจกต์ คุณอาจใช้เทรนด์ในการสร้างเว็บไซต์เฉพาะสำหรับรีวิวและเปรียบเทียบซอฟต์แวร์ ธุรกิจ SaaS บางเจ้ามี Affiliate Program คุณอาจได้ประโยชน์จากการโปรโมตสินค้าของพวกเขา
ตัวอย่าง :
นี้เป็น Niche กำลังมาแรง ถึงจะเยอะไปหน่อย แต่ต่อให้ช่างภาพมือใหม่ก็อาจไปได้สวยใน Niche นี้ เราต่างสนใจในเรื่องของการถ่ายภาพยังให้ได้มุดดี ๆ ด้วยมือถือเครื่องหนึ่ง แพลตฟอร์มที่รวบรวมรูปภาพขายนั้นเป็นที่นิยมมาก แต่ไม่ใช่ว่าใครก็พร้อมซื้อ คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะพัฒนาทักษะการถ่ายภาพของตัวเองแทน คุณอาจเริ่ม Niche Site เกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายรูปพร้อมกับรีวิว, สอนและให้คำแนะนำหรือทำเว็บรวบรวมรูปถ่าย ( ด้วยรูปถ่ายมีเอกลักษณ์และเป็นมืออาชีพ )
งานออนไลน์และ ‘Work from home’ ไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในปี 2021 ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้สร้างรายได้แม้อยู่ที่บ้าน ผู้คนเริ่มมองหาแนวทางในการลดความซับซ้อนและเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานข้างนอกมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ซอฟต์แวร์เท่านั้น ( เช่น ซอฟต์แวร์การประชุมและสัมมนา ) แต่ยังรวมไปถึงฮาร์ดแวร์ด้วย เช่น จอเสริม, หูฟังที่มีการตัดเสียงรบกวน, หลอดไฟ, แท่นวางโน้ตบุ๊ก, ฯลฯ
มี Affiliate program มากมายสำหรับเครื่องมือฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การรีวิวแบบละเอียดที่เสริมด้วยประสบการณ์ส่วนตัวและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอาจทำไปได้สวย ดังนั้นเว็บไซต์ของ Niche ที่โฟกัสที่งานแบบทำที่ไหนก็ได้อย่าง Remote Work จึงถือเป็นโอกาสสร้างรายได้ที่ดีเยี่ยม คุณอาจเริ่มทำกับ Amazon Affiliate Program เพราะผู้คนส่วนใหญ่เชื่อถือในแพลตฟอร์มนี้และใช้ซื้อของออนไลน์ในนี้เป็นประจำ
ทุกคนต่างชอบถ่ายวิดีโอ ไม่ว่าจะเพื่อเรื่องส่วนตัวหรือธุรกิจ และ Youtube ก็โตขึ้นทุกปี ผู้คนจึงอยากอัปเกรดอุปกรณ์และเครื่องมือในการผลิตคลิปวิดีโอให้มีคุณภาพสูง เพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง คล้ายกับหัวข้อ ‘การทำงานแบบ Remote work’ คุณอาจเข้าร่วมกับ Affiliate Program ของ Amazon หรือของการผลิตแบรนด์สินค้า เพิ่มเสียงกับซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอ และบทเรียนต่าง ๆ — คุณอาจได้คอมมิชชั่นที่คุ้มมากเลยทีเดียว
มีบริการของสตรีมมิ่งอยู่มากมาย ( Netflix, Amazon, ฯลฯ ) พร้อมกับฐานลูกค้าที่ใหญ่ ผู้คนมีนิสัยชอบค้นหาข่าวสาร และอัปเดตเกี่ยวกับซีรีส์และหนังเรื่องใหม่ ๆ ที่มีออกมาเกือบทุกสัปดาห์ ถ้าหากคุณสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับซีรีส์และหนังยอดเยี่ยมที่กำลังมาและน่าติดตาม ให้การรีวิวและอัปเดตที่ถูกลิขสิทธิ์เกี่ยวกับซีรีส์ใหม่ประจำฤดูกาล คุณอาจได้ Traffic ที่เยอะจนสร้างรายได้ คุณสามารถสร้างรายได้จากเว็บไซต์ของคุณผ่าน Google AdSense และ Affiliate Program
ไม่ว่าคุณจะเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ หรือเพียงแค่ชอบรถยนต์ งั้นอุตสาหกรรมก็เหมาะกับคุณ จำตอนที่คุณซื้อรถยนต์คันล่าสุด คุณท่องไปทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่ออ่านรีวิวของรุ่นที่ต้องการ
รถไม่ใช่ของเล่นถูก ๆ ผู้คนจึงชอบอ่านบทความ, รีวิวทดสอบและดูวิดีโอก่อนทำการตัดสินใจซื้อรุ่นนั้น ๆ ถ้าหากคุณมีโอกาสลองขับรถยนต์มาหลายรุ่น คุณสามารถเขียนบทและการรีวิวที่มีความน่าเชื่อถือ แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวและมุมมองของคุณ
ตัวอย่าง :
ก่อนอื่น คุณควรรู้ตัวว่าความสำเร็จของเว็บไซต์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความชอบของคุณ แต่ขึ้นอยู่กับ Sub-Niche ที่เหมาะสมกับความชอบของกลุ่มเป้าหมาย นอกนั้นมีปัจจัยสำคัญอยู่หลายองค์ประกอบที่ส่งผลให้การพัฒนาและการทำกำไรของเว็บไซต์ ( หรือบล็อก ): การวิจัย Keyword, SEO, การวิเคราะห์และปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
Niche Website จำเป็นต้องแผนที่รอบคอบเพื่อให้กลายเป็นธุรกิจ และใช่ คุณจำเป็นต้องมี Traffic ( ที่เยอะมาก ) คอนเทนต์ที่โดดเด่นที่มีคุณภาพสูง และกลยุทธ์การสร้างรายได้ แต่ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้จะมาจากหัวข้อที่เหมาะสม คุณต้องคิดถึงความเป็นไปได้ของการลงทุนในหัวข้อตั้งแต่แรกเลย
แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะยากลำบาก ก็ยังมีทางสร้างรายได้จาก Niche Website ในปี 2022 แน่นอนว่า Niche บางกลุ่มนั้นถูกครองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ทำให้ยากที่จะแข่งขันด้วย
เพื่อการนั้น คุณสามารถเริ่มสร้างชื่อเสียงใน Micro-Niche เล็ก ๆ ก่อน คอยสร้าง Traffic และสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ Step-by-step ซึ่งคุณสามารถขยายไปใน Sub-Niche เพื่อนบ้านเพื่อสร้างภาพจำ ในปี 2022 Niche Website มีอันดับสูงมากในการค้นหามากกว่าเว็บไซต์ทั่วไป
เมื่อคุณมียอดเข้าชม 50 หมื่น+ ต่อเดือน คุณสามารถใช้การโชว์โฆษณาสำหรับ Passive Income คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ Google AdSense แต่นอกนั้นก็มีแพลตฟอร์มอื่นที่ให้เรทสูงกว่าเช่น ( Mediavine และ AdThrive )
คงไม่ต้องบอกแล้วว่า Keyword สำคัญอย่างไร เป็นสิ่งที่ใช้เวลาค่อนข้างเยอะเพื่อให้ได้ Keyword ที่ใช้กันเยอะ แต่ไม่ค่อยมีคู่แข่ง/ความยาก ใช้เครื่องมือ SEO เพื่อทำให้งานง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น Ahrefs หรือ SeCockpit เพื่อเพิ่มยอด Traffic ให้เว็บไซต์ของคุณเยอะขึ้น ไม่ว่าเว็บมาสเตอร์จะชอบ AdSense หรือไม่ก็ตาม ( และแพลตฟอร์มที่คล้ายกัน ) ก็ไม่สามารถเห็นพ้องกันได้ บ้างก็ไม่ชอบให้เว็บไซต์หรือบล็อกของตนเองนั้นแออัดเกินไป อยากให้เว้นไว้ว่างหน่อยก็ดี
ในทางกลับกัน บางคนไม่ยอมเสียโอกาสสร้างรายได้เสริม ข้อดีคือคุณไม่ต้องโปรโมตหรือขายสินค้าใด ๆ แค่วางโฆษณาในพื้นที่ของแพลตฟอร์ม แนวคิดหลักคือการรวบรวมจำนวนการกดโฆษณา ไม่ต้องกังวลเพราะว่าโฆษณาที่เลือกออกมาจะเกี่ยวข้องกับ Niche ของคุณ อีกอย่าง คุณสามารถจัดการและกำหนดโฆษณาได้
Affiliate Marketing คือหนึ่งในวิธีสร้างรายได้ออนไลน์ที่ได้ผลมากที่สุด อ้างอิงจากราคาที่สูงและหัวข้อที่เกี่ยวข้องของสินค้าที่ใช้โปรโมต
คุณอาจเลือกทำในองค์กร ( แบรนด์เฉพาะ ) ของ Affiliate Program หรือเข้าร่วม Affiliate Network ( เช่น ShareASale, CJ Affiliate หรือ Amazon Associates ) ที่จะมาเป็นคนกลางระหว่างผู้โฆษณา ( แบรนด์, ผู้ผลิต ) และ ผู้เผยแพร่ ( นักการตลาดและเว็บมาสเตอร์ ) คุณอาจพบถึง 1,500+ ผู้โฆษณาบน Affiliate Network เจ้าเดียว เทียบอุปกรณ์และเครื่องมือที่ Affiliate Network เสนอให้, รายชื่อผู้โฆษณา, เรทคอมมิชชั่น, ตัวเลือกการจ่ายเงิน และตารางเวลาที่มีให้เลือกอันที่เหมาะสมที่สุด
วิธีนี้หมายถึงการที่คุณเก็บค่าเข้าชมคอนเทนต์พิเศษบางตัวกับผู้อ่าน คุณน่าจะรู้ดีว่าการเผยแพร่ข่าวสารมีข้อเสนอการเข้าถึงบทความจำนวนหนึ่งฟรี (The New York Times) สามารถนับสมาชิกแทนการขาย E-book — ทั้งสองกรณี ผู้อ่านจะได้สิทธิเข้าถึงคอนเทนต์เฉพาะ
คือการที่เจ้าของธุรกิจจ่ายเงินให้คุณโปรโมตคอนเทนต์ที่ทำขึ้นมาบนเว็บไซต์/บล็อก ของคุณ สามารถเป็นวิดีโอ, รีวิว หรือบทความยาว ๆ ในบางกรณี แบรนด์จะให้คุณเผยแพร่บทความ ( ที่เขียนโดยองค์กร ) ซึ่งเรทจะแตกต่างกันมาก คุณควรคิดให้ดีถึงปริมาณงานที่ต้องทำ ชื่อเสียงความนิยมและมูลค่าในอุตสาหกรรมนั้น บางแพลตฟอร์ม ( ตัวอย่างเช่น BuzzFeed ) ที่เรียกถึง $100,000 สำหรับการเผยเเพร่คอนเทนต์ของสปอนเซอร์
เมื่อคุณเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณสามารถสร้างรายได้ด้วยการสอนคนอื่นอย่าง การให้คำปรึกษา, สอน, สัมมนาและ E-book ถ้าหากคุณมีความรู้และประสบการณ์ที่อยากแชร์อยากแบ่งปัน คุณก็มีโอกาสสูงที่จะสร้างรายได้ด้วย Niche Site ของคุณผ่านการเสนอคอร์สออนไลน์/ดาวน์โหลด PDF/พอดแคสต์/วิดีโอ
พื้นที่ว่าง ๆ บนเว็บไซต์ สามารถทำเงินได้เช่นกัน ลองหาผู้โฆษณาที่อยากวางแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของคุณ แถมเป็นการดีที่หาแบรนด์/บริการ ที่ทำงานอยู่ใน Niche เดียวกัน ไม่เช่นนั้น แพลตฟอร์มของคุณก็คงดูแปลกและไม่น่าเชื่อถือ ลองนึกดูว่าคุณสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬา แต่ดันมีแต่แบนเนอร์สำหรับคุณแม่และการเลี้ยงดูบุตร คุณอาจเสนอพื้นที่ทางขวา ด้านล่างของเว็บ และแม้แต่ป็อปอัพ เรทจะขึ้นอยู่กับความนิยมและ Traffic ในแพลตฟอร์มของคุณ ปกติส่วนใหญ่จะต่อรองราคากันไว้แล้วในบางกรณี บางครั้งเว็บมาสเตอร์และผู้ให้โฆษณาจะทำข้อตกลงเป็นการจ่ายรายเดือน ในอีกกรณีก็ใช้รูปแบบ PPC (pay-per-click) หรือการจ่ายตามจำนวนที่มีคนกดโฆษณา
Keyword Traffic + คอนเทนต์พร้อมลิงก์ Affiliate ไปหาสินค้าที่มีเรทคอมมิชชั่นสูง = เว็บไซต์ทำกำไรได้
ตอนนี้คุณเกือบพร้อมสร้าง Niche Site อันใหม่แล้ว ส่วนสำคัญที่รู้คือ นี้ใช่คอนเทนต์ในแผนหรือเปล่า หรือก็คือกลยุทธ์ทำคอนเทนต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อทำให้ Niche Website ของคุณติดอันดับสูง ๆ Google และมีคุณค่ากับผู้อ่าน พิจารณาดูตามส่วนต่างต่อไปนี้เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไปรอดได้ในระยะยาว
คุณควรสร้างตารางเวลาสำหรับการโพสต์บทความ ( 1 ครั้งต่อวัน, 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์, เดือนละครั้ง ) ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าควรโพสต์เท่าไรบนเว็บไซต์ — มีตั้งแต่ 20 or 2,000 โพสต์ เว็บมาสเตอร์มืออาชีพแนะนำให้โพสต์ บทความแบบ ‘Pillar’ ( ยิ่งยาวยิ่งมีค่า ) ต่อบทความเล็ก ๆ ประมาณ 10 โพสต์ แยกคอนเทนต์ออกเป็นหมวดหมู่ แบบนี้จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านและได้แพลตฟอร์มที่มีความเป็นระเบียบ
ตอนนี้คุณได้อ่านและแยกแยะไอเดีย Niche Site และส่วนสำคัญของการสร้างรายได้ คุณต้องเลือกกำหนดสิ่งเหล่านี้ บางที Forum เชิงอุตสาหกรรมอาจช่วยให้เกิดผลดีต่อการสร้างเว็บไซต์ใหม่ของคุณ ลองดูใน Warrior Forum, WickedFire, BlackHatWorld หรือ AffiliateFix — พวกนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ดีมาก ( และยัง Forum อื่น ๆ อีกเยอะ ) ที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็น รับข่าวสารให้ทันเหตุการณ์และสร้างเพื่อนใหม่ นอกจากนี้ยังมีโอกาสให้ได้เรียนรู้ความคิดเห็นที่แตกต่างจากหลาย ๆ ด้าน จะว่าไป Forum เองก็ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับการโปรโมตธุรกิจของคุณอยู่เหมือนกันนะ หากโพสต์ตรงประเด็นและเรียบเรียงได้ดี สามารถเพิ่ม Traffic และพาเว็บไซต์ของคุณไปในระดับที่สูงขึ้น บางแพลตฟอร์มอนุญาตให้ใช้ลิงก์ไว้เป็นลายเซ็น หรือการวางลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ ยังไงก็ตาม ต้องอ่านกฎและนโยบายก่อนเข้าร่วม Forum และถ้าหากคุณรู้จัก Forum และชุมชนที่เกี่ยวกับการตลาดดี ๆ อย่าลืมแบ่งปันกันนะ
ตามที่ Forbes รายงาน Jon Dykstra เป็นทนายชาวแคนาดา ผู้ที่เคยถูกพนักงานของตัวเองบอกให้โปรโมตธุรกิจของพวกเขาผ่านบล็อกและคอนเทนต์การตลาด จนดลใจให้เกิดผลลัพธ์นี้ Jon เปลี่ยนความสนใจมาสร้าง Niche Website และในที่สุด เขาต้องเลือกระหว่างอาชีพของตัวเองในฐานะทนายกับเว็บมาสเตอร์ คุณคงพอเดาออกว่า Jon เลือกทำอาชีพออนไลน์
ก่อนอื่นเลย Jon รายงานว่า Facebook ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่ง Traffic ที่สำคัญมากใน Niche Website ต่าง ๆ ของเขา เขาเผยว่าต้องจ่ายค่า Facebook ads ราว $1,500 ต่อเดือน
รูปข้างล่างแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของรายได้จาก Niche Site ทั้ง 8 เว็บไซต์ ซึ่งที่จริงแล้ว Jon เปิดเว็บไซต์อีกหลายเว็บ แต่ในรายงานของเขาแจ้งว่า "เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า Niche Site ก็สามารถมีรายได้ที่ดี"
รายได้ที่แชร์หลัก ๆ มาจากการแสดงโฆษณาและ Affiliate Program ในเวลาเดียวกัน Jon แชร์รายจ่ายของ Niche Website ทั้ง 8 เว็บไซต์ — ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าสนใจเหมือนกัน
รายจ่ายของเขารวมถึงบริการโฮสติ้ง ($2,069), Nitropack ($32), SurferSEO ($59), Amazon AWS ($110), VAs ($5,200), Cloudfare ($200), Ahrefs ($179), ภาพสต๊อกของ Shutterstock ($800), Facebook Ads (ราว $1,500) และค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์อื่น ๆ
ที่น่าสนใจคือ Jon ไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายของคอนเทนต์ในรายจ่ายทั้งหมด
Jon อธิบายว่าที่เขาไม่รวมลงไปในรายจ่ายเป็นเพราะคิดว่าค่าใช้จ่ายคอนเทนต์เป็นตัวแทนของการลงทุนสำหรับการเติบโตของเว็บไซต์ในอนาคต มูลค่าของเว็บไซต์ถูกคำนวณจากส่วนต่างของรายรับและรายจ่าย ฉะนั้น เว็บไซต์ทั้งหลายที่ ‘ปล่อยขาย’ ถือว่าไม่นับเพราะค่าใช้จ่ายของคอนเทนต์ถูกรวมในรายจ่ายแล้ว ดังนั้นรายได้สุทธิจึงถูกลดลง Jon จึงพิจารณาว่าควรนำค่าใช้จ่ายของคอนเทนต์แยกออกมาต่างหาก จากรายจ่ายของเว็บไซต์
และข้างล่างคือหนึ่งในรายได้ของโฆษณา:
จากรายงานของ Jon ปัจจัยทั้งสามจะเป็นตัวตัดสินความสำเร็จใน Niche Website ของคุณ :
Runnerclick เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของ Niche Website ที่มีการรีวิวสินค้ามากมายหลากหลายกับ Keyword เน้นไปหาลูกค้า ตัวเว็บไซต์โตเร็วมาก เนื่องจากความพยายามในการสร้างลิงก์ การออกแบบเองของเว็บไซต์พร้อมกับรูปโต้ตอบที่น่าสนใจและการสร้างแรงบันดาลใจได้สูงมาก อีกอย่างคือการรวบรวมลิงก์ Affiliate ของ Amazon ที่เข้ากับคอนเทนต์มาก
สถิติ:
ถึงไม่มีการรายงานรายได้อย่างเป็นทางการ แต่ด้วยคอนเทนต์และ CTA (call-to-action) ที่เจ๋งไม่เบา ทำให้อาจมีรายได้จาก Affiliate เกิน 70k ต่อเดือน
BabyGearLab เป็นตัวอย่างเว็บไซต์ของ Niche ซ้อน Niche ที่สมบูรณ์แบบ มีธีมการออกแบบและโครงสร้างเว็บไซต์ที่น่าดึงดูด คอนเทนต์มีคุณค่าพร้อมกับลิงก์ Affiliate ที่เข้ากันเป็นอย่างดี ด้วยการรีวิวที่รายละเอียดทำให้ได้ Traffic ที่เป็นเป้าหมาย บางทีตัวเลขข้างล่างอาจดูไม่หวือหวาอะไร แต่นี่เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีฐานลูกค้าแบบ Ready-to-buy หรือพร้อมซื้อ อาจมีอัตรายอดขายที่ค่อนข้างสูงมาก
จากการประเมินแบบคร่าว ๆ ทำให้เราทราบ ตามนี้:
ดูเหมือนว่า Traffic ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Organic สังเกตจะเห็นว่าโพสต์ที่ติดอันดับสูงมี 8,800 คำ ( งานช้างเลย ) อีกครั้งที่ไม่มีรายงานเรื่องรายได้อย่างเป็นทางการ แต่ดูท่าจะได้ประมาณ 30k+ หรือหนึ่งล้านนิด ๆ ถ้าอ้างอิงตามข้อมูล Traffic
สรุป
การเลือก Niche ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ คือความท้าทายที่ยากที่สุดที่คุณต้องเจอ เกือบทุก Niche ต้องพิจารณาแล้วว่าสามารถทำกำไรได้ จากที่คุณทำการบ้านมาแล้ว ( Keyword และ SEO ) และเพิ่มกลยุทธ์การสร้างรายได้
Sub-Niche ใดก็ตามที่คุณเลือก ต้องมีความแตกต่างเสมอในแง่ของการสร้าง Traffic และการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่สังเกตและมีเอกลักษณ์ Passive Income ไม่ได้หมายถึง “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่ต้องพยายาม” แต่กลับเป็นสิ่งที่หมายถึง พยายามอย่างหนักของคุณที่ทำธุรกิจให้มีรายได้กลับคืนมาเพื่อตอบแทนการทำงานหนัก
หากคุณคิดว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ในเชิงธุรกิจ คุณต้องมีคอมโบ SEO ที่สมบูรณ์แบบ คอนเทนต์แปลกใหม่ที่มีคุณค่า การแสดงโฆษณาและสินค้า Affiliate ที่จะดึงดูดให้ผู้คนมายังแพลตฟอร์มของคุณ