ป๊อปปุนเดอร์

?

นเนอร์ที่ทับซ้อนกันมากของเนื้อหาบนหน้าโดยอัตโนมัติ. เมื่อผู้ใช้พยายามปิดการแจ้งเตือนแท็บใหม่ที่มีเว็บไซต์ของผู้ลงโฆษณาจะเปิดขึ้นในเบรา

เรทติ้ง การรีวิว Min.  
1 46 การรีวิว, เรทติ้ง 6.1 16 1 11 50$
2 54 การรีวิว, เรทติ้ง 5.8 20 1 14 $5
3 5 การรีวิว, เรทติ้ง 5.7 2 0 3 €50
4 5 การรีวิว, เรทติ้ง 4.8 2 0 2 50$
5 5 การรีวิว, เรทติ้ง 4.4 1 2 2 $50
6 9 การรีวิว, เรทติ้ง 4.3 2 1 4 10$
7 9 การรีวิว, เรทติ้ง 3.7 0 3 4 5$สำหรับผู้ลงโฆษณา,$10 สำหรับเว็บมาสเตอร์
8 6 การรีวิว, เรทติ้ง 3.4 1 0 3 เว็บไซต์
9 6 การรีวิว, เรทติ้ง 3.1 1 0 4 เว็บไซต์
10 21 การรีวิว, เรทติ้ง 2.8 1 3 12
11 1 การรีวิว 0 1 0
12 0 การรีวิว 0 0 0 $50 เว็บไซต์
13 1 การรีวิว 0 1 0 10$
14 3 การรีวิว 1 1 1 50$
15 0 การรีวิว 0 0 0
16 0 การรีวิว 0 0 0 ไม่
17 0 การรีวิว 0 0 0 100$
18 0 การรีวิว 0 0 0
19 0 การรีวิว 0 0 0 $50
20 1 การรีวิว 0 0 1 $5

เครือข่ายโฆษณา pop-under ชั้นนำกว่า 15 เครือข่าย - แหล่งที่มาการเข้าชมโฆษณาป๊อปที่ดีที่สุด

โฆษณาแบบ pop-under เป็นจุดเชื่อมต่อผู้เข้าชมให้เข้าสู่ระบบการตลาด Affiliate แบบง่าย ๆ ขอยืนยันเลยว่า คุณเองก็สามารถได้รับการคลิกอย่างต่ำหนึ่งครั้งแน่นอนเมื่อมีผู้ใช้กำลังท่องเว็บไซต์ จากนั้นก็จะมีหน้าต่างโฆษณาเด้งขึ้นมาเองบนแทบด้านบนของหน้าต่างเบราวเซอร์ที่พวกเขาเปิดอยู่ โดยโฆษณา pop-under นี้จะพยายามที่จะกระตุ้นให้พวกเขาจ่ายเงินซื้อโปรดัก ขอบอกเลยว่า เป็นวิธีที่จัดว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในการสร้างรายได้ออนไลน์แล้ว ดังนั้น เราจึงได้ตัดสินใจที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ และให้รายละเอียดที่เป็นความรู้กับคุณ โดยในตอนท้ายของคู่มือนี้ คุณจะได้รับข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับ วิธีใช้โฆษณา pop-under พร้อมกับวิธีใช้สร้างรายได้แบบมีประสิทธิภาพ งั้นมารู้จักกับโฆษณา pop-under แบบเจาะลึกกันเถอะ! เริ่มต้นด้วยความรู้พื้นฐานของโฆษณาประเภทนี้

เมื่อย้อนกลับไปในปี 1941 การทำโฆษณาบนโทรทัศน์เคยเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบัน โฆษณา pop-under ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นสื่อโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ผู้ลงโฆษณาสามารถได้รับความสนใจด้วยช่องทางที่มีจำนวนผู้ชมที่มหาศล ไม่ว่าจะเป็นคลิปที่เป็นไวรัล โปรแกรมบนเว็บ เสียงเพลง และรายการทีวีบนอินเทอร์เน็ต

โดยทุกวันนี้ นักเขียนออนไลน์ต่างเชื่อมั่นในกลยุทธ์การตลาดที่น่าเชื่อถือกันทั้งนั้น จากที่พวกเขาเคยเห็นวิธีการโฆษณาต่างๆตามโทรทัศน์ และยังเรียนรู้การตั้งค่าโฆษณาแบบใหม่มามากมาย ที่พอจะทำให้ผู้คนเกิดความสนใจเมื่อได้เห็นคอนเทนต์ และเรียนรู้วิธีเพิ่มรายได้จากการทำโฆษณา โดยโฆษณา pop-under ก็จะมีเซิร์ฟเวอร์ประจำเครือข่ายที่คอยดูแลและคอยให้บริการสำหรับผู้ใช้โฆษณา pop-under อยู่แล้ว อย่างเช่น EZMob

pop-under คืออะไร?

มีทางเลือกมากมายนับไม่ถ้วน ในการโปรโมตโปรดักหรือบริการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าโฆษณา pop-under นี้แหละ โฆษณา pop-under เป็นแบนเนอร์ที่ได้ทำงานภายใต้หน้าต่างเบราว์เซอร์ โดยโฆษณาแบบ Pop-under จะแตกต่างจากโฆษณาแบบ Pop-up มากๆ ซึ่งมันถูกซ่อนไว้หลังหน้าต่างหลักที่ผู้เข้าชมไซต์เปิดอยู่ และมันจะเปิดใช้งานขึ้นเป็นหน้าต่างเบราว์เซอร์ใหม่เท่านั้น โดยปกติผู้เข้าชมเว็บไซต์จะไม่ค่อยดำเนินการกับโฆษณา Pop-up เลย และเลือกที่จะปิดโฆษณานี้แทนมากกว่า แต่โฆษณา pop-under ยังคงอยู่ในบริเวณรอบนอกของตัวเว็บไซต์ ซึ่งมันจะไม่ขัดขวางเว็บไซต์หลักของผู้ใช้เลย ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ยังมีตัวเลือกแบบตรงๆให้ผู้ใช้ได้เข้าไปใน หน้าต่าง pop-under ตามความสนใจของผู้ใช้ในภายหลังด้วย โฆษณาประเภทนี้ถือว่ามีความก้าวร้าวน้อยกว่า และทำให้ไขว้เขวมากกว่าแบบฟอร์มโฆษณาจำนวนมาก เพราะมันเป็นโฆษณาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เบราว์เซอร์ที่ใช้งานอยู่ แม้ว่ามันจะยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับใครหลายๆคนและผู้คนมักจะพยายามแบนโฆษณาป๊อป ทุกประเภทเลย แต่ยังดีที่แบบ pop-under นั้นโดนตัวบล็อกโฆษณาจะตรวจจับได้ยาก และเป็นมิตรกับผู้ใช้มือถือ ที่มันไม่บังคับให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน 

ก่อนที่จะอธิบายหัวข้อต่อไป เราต้องมาแยกความต่างระหว่างโฆษณา pop-under และ Tabunders ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากนักการตลาดส่วนใหญ่จะไม่เลือกใช้โฆษณาแบบ pop-under เพราะเมื่อลองเปรียบเทียบกัน พบว่า โฆษณาทั่วไปจะก้าวร้าวมากในการดึงดูดการเข้าชม ถึงแม้ว่า ทั้งสองแบบนี้ เวลาเรามองผ่านๆ พวกมันอาจจะดูคล้ายกัน แต่ที่จริงพวกมันค่อนข้างแตกต่างกันอยู่นะ โดยจะมีแท็บเปิดขึ้นมาในหน้าต่างเดียวกัน และนั่นเป็นจุดที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้แหละ มันสามารถเปิดผ่าน tab (tab-up) และ ด้านหลัง (tab-under) ซึ่งมันเป็นสิ่งที่รบกวนผู้เข้าชมหน้าเว็บ พวกเขาคิดว่า มันจะก้าวร้าวมากขึ้นกว่าป๊อป ที่สามารถดูได้จริงหลังจากที่เบราว์เซอร์ได้เปิดใช้งานอยู่เท่านั้นและถ้าหากหน้าต่างถูกปิดอยู่ ถือว่าเป็นประโยชน์กับโฆษณา pop-under มากๆ


Pop-under traffic คืออะไร?

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มุ่งตรงไปยังหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ของคุณ โดยโฆษณาแบบ pop-under ก็จะถือว่าเป็น pop-under traffic (การเข้าชมที่มาจากโฆษณา pop-under) เมื่อคุณเลือกใช้โฆษณา pop-under ภายใต้แคมเปญการตลาดแบบเสียค่าใช้จ่าย คุณจะได้รับโฆษณามาหนึ่งชุด โดยขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่คุณเลือกหรือเวลาที่คุณเลือกที่จะนำเสนอ ซึ่งดูไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

มีเครือข่ายโฆษณามากมายที่มีข้อเสนอประเภทโฆษณา pop-under ในส่วนวิธีการเลือกเครือข่ายโฆษณานั้น คุณควรลองใช้แพลตฟอร์มหลาย ๆ แบบดูก่อน จากนั้นก็ตรวจสอบสถานะบริการของเครือข่ายที่คุณเลือก และให้ความสนใจกับประสิทธิภาพของบริการที่ทางเครือข่ายจัดหาให้

ถ้าคุณเลือกได้แล้ว คุณจะมีตัวเลือกในการจัดการหรือให้บริการด้วยตนเอง โดยที่แพลตฟอร์มจะอำนวยความสะดวก ในเรื่องการเปิดตัวและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญให้เข้ากับทุก ๆ กลุ่มเป้าหมายได้ การลงทะเบียนส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาไม่นานหรอก จากนั้นแล้ว ทางแพลตฟอร์มจะอนุมัติบัญชีของคุณ หลังจากนั้น คุณยังต้องร่างแคมเปญแรกของคุณเองก่อน ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จะรอการอนุมัติภายในไม่กี่ชั่วโมง


ทำไม Pop-under น่าสนใจ?

โฆษณาแบบ pop-under มีโอกาสสร้างอัตรา Conversion ที่สูงมาก ๆ เมื่อเทียบกับโฆษณาประเภทอื่น ๆ อีกข้อดีของมันคือ ผู้เข้าชมแทบที่จะไม่เพิกเฉยกับตัวโฆษณาเลยเมื่อพบกับโฆษณาประเภทนี้ เพราะมันได้ติดตั้งบนลงในหน้าเว็บแล้ว ซึ่งต่างจากโฆษณาแบบแบนเนอร์ทั่วไป อีกเรื่องหนึ่งที่คุณพลาดไม่ได้ คือโฆษณา pop-under มันมีราคาถูกกว่าโฆษณาบน Facebook Instagram หรือแพลตฟอร์มมโซเชียลออนไลน์อื่น ๆ

เห็นได้ว่ามีลิสต์การพัฒนาตามด้านล่างนี้ ซึ่งคุณสามารถทำได้หากได้ใช้เจ้าโฆษณา pop-under:

  • การเพิ่มจำนวนการเข้าชมหน้าเว็บไซต์
  • การเพิ่มรายได้จากการทำโฆษณา
  • การกระตุ้นการรับรู้ของแบรนด์
  • การเพิ่มจำนวนการผ่อนชำระแอพ
  • ส่งเสริมการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์
  • การเพิ่มจำนวนสมาชิกและลีด;

    โฆษณา pop-under มันทำงานอย่างไร?

ไม่เพียงแค่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดการเข้าชมจากเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังช่วยรวบรวมข้อมูลการติดต่อ เช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และอื่น ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าตัวเลือกเครื่องอันดับต้น ๆ ที่จะใช้สร้างลีดที่มีคุณภาพ อย่าเพิ่งสงสัยอะไรนะ ให้เราอธิบายความหมายของ "ลีดที่มีคุณภาพ" ก่อน เมื่อผู้ใช้ได้ลงทะเบียนในเว็บไซต์ที่ติดตั้งโฆษณาแบบ pop-under ได้แล้ว จากนั้นพวกเขาจะคลิกที่แท็บใดก็ตาม พวกเขาจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้า pre-landing page ในหน้าต่างอื่น ปกติแล้ว หน้า pre-landing page จะมีปุ่ม CTA ในหน้าเพจเหล่านั้น ซึ่งถ้าเป็นตัวแทนการขายที่มีความเชี่ยวชาญก็จะสามารถสร้างปุ่มพิเศษเพื่อจูงใจผู้ใช้ได้ดีเลย เช่น หากชนะคุณจะได้รางวัลแบบเบิ่ม ๆ สิ่งที่เราต้องการจากจริง ๆ คือ ผู้ใช้ทุกคนต้องคลิกที่ปุ่ม CTA จากนั้นผู้เข้าชมจะถูกดึงดูดไปยังหน้าเว็บของผู้ให้บริการเว็บไซต์ นอกจากนี้ มีการขอรายละเอียดการติดต่อของผู้ใช้ เช่น อีเมลของพวกเขา เบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ด้วย เมื่อพวกเขาป้อนข้อมูลส่วนตัวแล้ว คุณก็จะมีลีดที่มีคุณภาพสูงเพื่อเสนอให้กับผู้ลงโฆษณาแล้ว จากนั้นจำไว้เสนอว่า คุณกำลังจัดการกับข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาอยู่ ดังนั้นอย่าให้ข้อมูลมีการรั่วไหลอย่างเด็ดขาด


คำเตือน! จะไม่เกิดทราฟฟิคขึ้นอีก! 

ตัวแทนการขายที่จัดการกับโฆษณาแบบ pop-up หรือแบบ pop-under ส่วนใหญ่ต่างรู้สึกระแวงว่า พวกเขาสามารถได้รับการแจ้งเตือนที่ดูแล้วน่าตกใจว่า ไม่มีการเข้าชม ลองนึกดูสิว่า ถ้าหากคุณไม่ได้รับการเข้าชมเลยจริง ๆ ล่ะ? เห็นแบบนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจเลย เพราะถ้าเกิดกรณีนี้กับคุณจริง ๆ

ก่อนอื่นเลย คุณควรเช็คยอดเงินในบัญชีของคุณ ซึ่งปกติแล้ว หากในบัญชีไม่มียอดเงินเหลือเลย ระบบก็จะหยุดสร้างการเข้าชมให้คุณทันที แม้ว่า หากคุณมีเงินทุน ก็ลองเช็คดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับสถานะแคมเปญ และการตั้งค่างบประมาณของคุณ อาจเป็นไปได้ว่า งบประมาณรายวันของแคมเปญของคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ซึ่งหมายความว่า ในวันนั้นโฆษณาส่งเสริมการขายจะไม่ปรากฏขึ้นที่ไหนเลย หลังจากนั้น โฆษณาจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในวันถัดไป จนกว่าคุณจะกดหยุดการโฆษณาไว้ชั่วคราว หรือถึงขีดจำกัดของแคมเปญทั้งหมดแล้ว เมื่อใช้งบประมาณรวมของแคมเปญหมดไปแล้ว โฆษณาของคุณจะหยุดทำงาน ยกเว้นคุณจะเพิ่มขีดจำกัดและเริ่มต้นทำแคมเปญใหม่ คุณสามารถตรวจสอบจำนวนการแสดงผลโดยประมาณของโฆษณาที่คุณได้ตั้งราคาและกำหนดเป้าหมายไว้ ผ่านเครื่องมือตรวจสอบทราฟฟิก (Traffic Estimator)


หากใช้ pop-under จะสามารถทำรายได้ประมาณเท่าไร?

ตัวแทนการขายมากมายที่ใช้ pop-under ได้ยืนยันแล้วว่า พวกเขามีรายได้มาตรฐานไม่ต่ำกว่า $4 ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้งจากโฆษณาประเภท pop-under ในเรตราคานี้ มันอาจจะดูไม่เยอะมากและก็ไม่น้อยเกินไป เหมือน ๆ กับเครือข่ายโฆษณาอื่น ๆ ส่วนใหญ่ผลกำไรจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายปัจจัย

เช่น ตำแหน่งของผู้เข้าชมเว็บไซต์นั้น จำนวนการเข้าชมเว็บในเว็บไซต์ เงื่อนไขและขอบเขตของเว็บไซต์ และแม้กระทั่งบางช่วงเวลาของวันและสัปดาห์ และในปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ปัจจุบัน pop-unders ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากกว่า 40 ประเทศ รวมไปถึงอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก ออสเตรเลีย อินเดีย และเอเชียใต้ สหราชอาณาจักร (การแสดงผล $2.5/ 1000 ครั้ง), สหรัฐอเมริกา (การแสดงผล $1.5/ 1000 ครั้ง), แคนาดา, ออสเตรเลียและประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป (การแสดงผล $2.0/ 1000 ครั้ง) มีอัตราการแสดงผลของประชากรสูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย เช่น อินเดีย ($6.6), ฟิลิปปินส์ ($0.3) ดังนั้น หากผู้เข้าชมของคุณมีจำนวนมากที่มาจากภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป คุณก็จะสามารถสร้างรายได้จากเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณได้อย่างชิว ๆ เลย เพราะประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก คุณสามารถเปรียบเทียบกำลังซื้อของทุก ๆ ประเทศในโลกในชุดข้อมูลปี 2019 ตามแผนที่ด้านล่างนี้ได้เลย หวังว่า จะช่วยให้คุณเข้าใจอย่างกระจ่างว่า อัตรารายได้ก็ขึ้นอยู่กับประเทศต้นกำเนิดของผู้เข้าชมด้วย

โฆษณาแบบ pop-under สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ดอลลาร์ตามค่าเฉลี่ยแน่นอนสำหรับเว็บไซต์ที่เลือกใช้โฆษณาประเภทนี้ และจะได้รับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์จากสหรัฐอเมริกาที่ไม่ซ้ำกัน 1,000 ราย

มี 2 รูปแบบการกำหนดราคาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดสำหรับการเข้าชม pop-under คือ CPM และ CPA

CPM

ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง (Cost per thousand) หรือเรียกอีกอย่างว่า Cost Per Mile เป็นคำศัพท์ทางการตลาด โดย CPM ใช้เพื่อแสดงค่าใช้จ่ายของการแสดงโฆษณา 1,000 ครั้งในหนึ่งหน้าเว็บ หากผู้เผยแพร่โฆษณาเว็บไซต์คิดค่า CPM $2.00 แสดงว่านักการตลาดต้องจ่ายค่าบริการนี้ไป $2.00 สำหรับการแสดงผลโฆษณาในทุก ๆ 1,000 ครั้ง ผู้ลงโฆษณามักจะวัดความสำเร็จของแคมเปญ CPM ตามอัตราการคลิก โดยจะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เห็นและคลิกที่โฆษณานั้นของคุณ ตัวอย่างเช่น การโปรโมตที่ได้รับการคลิก 2 ครั้งสำหรับการแสดงผลทุก 100 ครั้งจะมี CTR 2% คุณจะพิจารณาความสำเร็จจากการวัดค่า CTR แค่อย่างเดียวไม่ได้ เพราะผู้ชมดูโฆษณาจริง ๆ แต่พวกเขาไม่ได้คลิกเลย อาจเป็นเพราะยังไม่มีแรงจูงใจมากพอ

CPA

ต้นทุนต่อการกระทำ (Cost Per Action) หรือเรียกอีกอย่างว่า (Cost Per Acquisition) เป็นรูปแบบการตลาดที่ผู้เผยแพร่โฆษณาใช้กำหนดค่าบริการ เพื่อเน้นการดำเนินการที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการตลาดแบบ Affiliate สิ่งนี้แตกต่างจากการตลาด Affiliate ทั่วไป แม้ว่าคุณจะขายไม่ได้เลย แต่ก็ยังสามารถได้รับเงินจากเครือข่าย CPA โดยการจ่ายเงินนี้มักจะขึ้นอยู่กับการสร้างโอกาสในการขายต่าง ๆ เช่น การส่งหมายเลขโทรศัพท์ หรือที่อยู่อีเมล เพื่อรับรายการ หรือรายละเอียดต่าง ๆ โดยที่ผู้เข้าชมของคุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย

นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการกำหนดราคาอื่น ๆ อีกด้วย เช่น CPI (ต้นทุนต่อการติดตั้งแอป) และ CPL (ต้นทุนต่อลีด) ที่เหมาะสำหรับการเข้าชมจากโฆษณาประเภทนี้

CPI

ต้นทุนต่อการติดตั้งเฉพาะแอปพลิเคชันบนมือถือ ในการทำงานของรูปแบบ CPI ผู้เผยแพร่โฆษณาจะวางตำแหน่งโฆษณาดิจิทัลตลอดชุดสื่อ เพื่อผลักดันให้ผู้เข้าชมได้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่โฆษณา เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ชื่อแบรนด์จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามราคาคงที่

ค่าเฉลี่ยราคาพื้นฐานของ CPI:

- แอปพลิเคชัน iOS ในระดับสากลอยู่ที่ - $0.86

- แอปพลิเคชัน Android ทั่วโลก (ตามตลาด Google Play) - $0.44

- แอปพลิเคชัน iOS ในสหรัฐอเมริกา - $2.07

- แอปพลิเคชัน Android ในสหรัฐฯ (ตลาด Google Play) - $1.72

- การโฆษณาบน Facebook - $1.8

- การโฆษณาบน Twitter - $2.53

- การโฆษณาบน Instagram - $2.23

- การโฆษณาบนเว็บเบราวเซอร์ - $1.00

CPL

โดยปกติแล้ว รูปแบบการกำหนดราคาต้นทุนต่อลีด เป็นรูปแบบที่นักการตลาดออนไลน์มักจะใช้กับแบรนด์ดัง ๆ ที่สามารถสร้างจดหมายออนไลน์ โปรแกรมการหาลูกค้าใหม่ หรือ โปรแกรมสร้างแรงจูงใจ ต้นทุนต่อลีด หมายถึง เมื่อไหร่ก็ตามที่นักการตลาดได้รับลีด (ข้อมูลการติดต่อของคนที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้า) จากนั้น CPL ก็จะได้รับการชำระเงินทันที

ตัวอย่างเช่น หากคุณเรียกใช้แคมเปญ CPL ที่มีค่าบริการ $4 เพื่อรวบรวมลิสต์รายชื่อ 1,000 คนที่มีความสนใจในการซื้อ PlayStation ดังนั้นคุณจะต้องจ่าย $4,000 เมื่อคุณได้รับข้อมูลติดต่อครบ 1,000 ข้อมูลแล้ว

ตลาดเฉพาะกลุ่มแบบไหนที่เหมาะกับโฆษณา pop-under?

โดยทั่วไปแล้ว โฆษณาป๊อปสามารถครอบคลุมทุก ๆ ตลาดเป้าหมายในวงกว้างได้เลย ซึ่งสำหรับคนที่มีความต้องการที่หลากหลายก็จะได้รับความพึงพอใจแน่นอน เลือกดีลที่เหมาะกับตลาดเป้าหมายที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ๆ ประโยคที่แคบเกินไป อาจไม่สามารถเข้าถึงผู้เข้าชมเว็บไซต์นี้ได้ มันอาจไม่เหมาะสำหรับบางตลาดเฉพาะกลุ่มที่ผู้ซื้อจะต้องใช้เวลาคิดก่อนที่จะทำการซื้อ เช่น โปรดักด้านการลงทุน ด้วยเหตุนี้ ลักษณะของการออกโฆษณาประเภทนี้จึงไม่เหมาะสำหรับทุก ๆ ตลาดเลย หนึ่งในการเข้าชมเว็บเหล่านี้มักเปิดตัวในข้อเสนอพิเศษสำหรับการใช้งานอย่างแพร่หลาย หรืออธิบายง่าย ๆ มันจะเหมาะกับรายการที่มีตลาดเป้าหมายขนาดใหญ่ ที่เป็นแบบนี้เพราะมีวิธีการกำหนดเป้าหมายที่ซับซ้อน เราขอแนะนำให้ใช้โฆษณา pop-under กับตลาดเฉพาะกลุ่มตามนี้:

  • - หาคู่เดทออนไลน์;
  • - การพนัน;
  • - เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่;
  • - การประยุกต์ใช้และพลังงานทดแทน;

โดยพื้นฐานแล้ว โฆษณาป๊อปสามารถนำมาใช้สำหรับตลาดอื่น ๆ ได้มากมายเลย อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณายังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จากการวิจัยสถิติของหน้า Landing Page ที่เชื่อมโยงไปถึงโฆษณาจำนวนมาก ซึ่งจะดีกว่านี้ถ้าเป็นโฆษณาสำหรับทั้งโปรดักและสิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยแรงกระตุ้น

ฟีเจอร์อะไรในแคมเปญโฆษณา pop-under ที่คุณควรให้เน้นใช้เป็นพิเศษ

  • frequency และ capping

ในเรื่องนี้คุณควรตัดสินใจให้ดี ๆ ในระหว่างการสร้างแคมเปญของคุณคือ การเลือกความถี่และการจำกัดเวลาให้กับตัวโฆษณาของคุณ ความถี่ (frequency) หมายถึง จำนวนครั้งที่จะแสดงโฆษณาให้ลูกค้าเห็น และ การจำกัดเวลา (capping) หมายถึง การระบุกรอบเวลาของการแสดงผลโฆษณา

เราไม่แนะนำให้ตั้งค่าการแสดงผลจำนวนมากและความถี่สูงในแต่ละวัน

เพราะวิธีไม่ช่วยให้คุณได้รับอัตรา Conversion ที่สูง แต่มันจะไปรบกวนผู้ใช้ของคุณแทน

เมื่อคุณเปิดใช้งานความถี่ที่สูงขึ้น นั่นหมายความว่า คุณก็จะต้องลงทุนงบประมาณทั้งหมดของคุณไปกับผู้คนกลุ่มเดิม ๆ การแสดงโฆษณาเพียงครั้งเดียวตลอดเวลาและซ้ำหลาย ๆ รอบ จัดว่าไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลย เพราะไม่ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้คนในตลาดเป้าหมายของคุณได้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ไอเดียที่ดีแน่นอน

โดยสมมุติว่า คุณตั้งค่าความถี่และอัตราการจำกัดการแสดงผลเป็น 1,000 ครั้งต่อสัปดาห์ ระบบจะต้องหาผู้ใช้ที่ไม่ซ้ำกันเพิ่มเติมให้คุณ ซึ่งผลที่ออกมา มันจะเป็นการเพิ่มผู้ชมของคุณได้เยอะเลย ไม่ต้องสืบเลยว่า ความถี่ต่ำสุด ๆ ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องหาความสมดุลในการเข้าถึงลูกค้า

  • Time schedule

นอกจากนี้ การจัดเวลาของโฆษณาถือเป็นสิ่งสำคัญ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า โฆษณาจะต้องไม่แสดงตอนที่ลูกค้ากำลังยุ่งอยู่ ตัวอย่างเช่น ต้องแสดงในช่วงที่พวกเขากลับมาจากที่ทำงาน หรือแสดงในช่วงที่พวกเขากำลังพักผ่อน ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะมีเวลามากพอที่จะมีส่วนร่วมกับโฆษณาของคุณ คอยติดตามว่า โปรเจคของคุณทำงานได้ดีเฉพาะช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และยังช่วยประหยัดงบอีกด้วย คุณต้องหลีกเลี่ยงการโฆษณาในช่วงเวลาทั้งหมดที่เกิดผลลัพธ์ไม่ดี และมุ่งเน้นกับในช่วงเวลาที่ให้ผลกำไรที่สูงสุด เมื่อพบช่วงเวลาที่เหมาะสมดีแล้ว ก็จะเป็นผลดีกับการทำโปรเจอโฆษณาในอนาคตของคุณด้วย

ด้านล่างนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับการเรียกใช้โฆษณา pop-under ใน GEO ที่โดดเด่น:

  • สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ 1 ทุ่ม - เที่ยงคืน
  • ไทย ตั้งแต่ 2 ทุ่ม - เที่ยงคืน;
  • อินเดีย ตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่ง - 4 ทุ่มครึ่ง;
  • ญี่ปุ่น ตั้งแต่ 1 ทุ่ม - 5 ทุ่ม;
  • อังกฤษ ตั้งแต่บ่าย 3 - 5 โมงเย็น;
  • บราซิล ตั้งแต่ 2 ทุ่ม - เที่ยงคืน
  • การกำหนดเป้าหมาย

กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมาย ในส่วนของขั้นตอนการแบ่งกลุ่มตลาด ควรเลือกกลุ่มตลาดที่เหมาะสมและการกำหนดโปรดักที่จะนำเสนอในแต่ละกลุ่ม ซึ่งคุณจะมีตัวเลือกสำหรับการกำหนดเป้าหมายต่าง ๆ มีตัวเลือกขั้นสูงสำหรับการกำหนดเป้าหมายของแคมเปญสำหรับโฆษณา pop-under ยกเว้น รายละเอียดทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย อย่างเช่น ภูมิศาสตร์ ระบบปฏิบัติการ ประเภทลิงก์ตัวเลือก แกดเจ็ต ผู้ให้บริการมือถือ เว็บเบราว์เซอร์ตามด้านล่างนี้ 

  • Carrier Targeting: โฆษณา pop-under สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด ผ่านผู้ให้บริการเฉพาะและผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อย่างง่ายดาย
  • Device Targeting: โฆษณา pop-under สามารถกำหนดเป้าหมายจากเดสก์ท็อป แท็บเล็ต และอุปกรณ์พกพาที่มีระบบปฏิบัติการ
  • Domain Targeting: โฆษณาแบบ pop-under สามารถรับการเข้าชมจากชื่อโดเมนและแหล่งที่มาที่กำหนดเป้าหมายไว้แล้วเท่านั้น
  • Geo-Targeting: โฆษณาแบบ pop-under สามารถได้รับผู้เข้าชมที่มาจากบางประเทศ บางเมือง และบางรัฐหรือภูมิภาค DMA
  • Supply Targeting: คุณสามารถเรียกใช้แคมเปญโฆษณา pop-under ในแอปพลิเคชันหรือพื้นที่ว่างบนเว็บไซต์
  • การกำหนดเป้าหมายเบราว์เซอร์: โฆษณา pop-under สามารถช่วยให้คุณได้รับผู้เข้าชมจากเบราว์เซอร์ใดเบราว์เซอร์หนึ่ง หรือตั้งค่า Exclusion list
  • Category Targeting: โฆษณา pop-under จะช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายบริการหรือโปรดักของคุณ โดยเฉพาะสำหรับหัวข้อหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้
  • App Targeting: คุณสามารถสร้างรายการที่อนุญาตและรับผู้เข้าชมจากแอปพลิเคชันที่กำหนดเป้าหมายเท่านั้นและอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมบางอย่างที่คุณสามารถติดตามจากลิสต์ด้านล่างนี้เลย ซึ่งมันจะช่วยให้คุณทำความคุ้นเคยกับนิสัยของว่าที่ลูกค้าของคุณได้: 

  • หากมีการคลิกสักจุดบนหน้า Landing Page สามารถบอกข้อมูลเราได้ว่า ถ้าหากไม่เกิดการมีส่วนร่วมเลย ก็จะแสดงว่า ไม่มีผู้เข้าชมคนไหนสนใจในโฆษณานี้เลย
  • หากให้เวลาที่อยู่กับหน้า Landing Page มากกว่า 10 วินาที แสดงให้เห็นว่า มีผู้เข้าชมอาจสนใจสายโปรดัก ซึ่งมันเป็นไปได้น้อยมากที่ผู้เข้าชม จะเกิดอาการลังเลในหน้า Landing Page ของคุณ เว้นแต่ เขาจะไม่สนใจเลย

แต่ถ้าว่าเป็นกรณีที่คุณได้เลือกที่จะติดตามผู้เข้าชมแทน คุณสามารถฝังพิกเซลการกำหนดเป้าหมายใหม่ จากนั้นก็เริ่มสร้างกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองได้ การปรับแต่งกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้คุณสามารถเติมเต็มกลยุทธ์ในช่องว่าง – คุณสามารถเลือกได้เลยว่า จะนำผู้ชมไปยังจุด Conversion ที่ดีที่สุดได้อย่างไร บ่อยแค่ไหน และจะติดต่อพวกเขากลับตอนไหน

ปกติแล้วในภายหลัง คุณจะมี 3 ตัวเลือกว่าจะทำอย่างไรกับผู้ใช้ที่สนใจ:

  • เพื่อส่งผู้ใช้ที่สนใจไปยังหน้าข้อเสนอสุดพิเศษ;
  • เพื่อออกจากหน้า Landing Page;
  • เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้า Landing Page อื่น

    หัวใจสำคัญเพื่อใช้เพิ่ม Conversion: หน้า Prelanding และ Landing Page

โดยพวกมันมีบทบาทสำคัญสำหรับ Conversion ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการรับยอดการเข้าชมแบบป๊อป คือ หน้า Prelanding และ Landing Page ซึ่งเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียวที่จะทำให้ผู้ใช้สนใจ ดังนั้น เดี๋ยวพวกเราขอเจาะลึกถึงรายละเอียดของเครื่องมือเหล่านี้กันสักหน่อย

Prelanding page

หน้า prelanding page เป็นหน้าเว็บที่ผู้ใช้จะเห็นก่อนหน้าเว็บ landing page หน้าที่หลักของมันคือ ทำความคุ้นเคยกับผู้ใช้เท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะไปยัง landing page มันจะช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลการติดต่อและข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ หนึ่งในฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดคือ มันช่วยถ่ายโอนผู้ใช้ไปยัง landing page หน้าหลัก ด้วยข้อเสนอของคุณ

วิธีการสร้างโอกาสในการขายด้วยหน้า pre-landing page

  • หน้าเว็บที่ได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องจะมี ปุ่ม CTA ที่สุดจะน่าดึงดูด

หน้าเพจจะต้องมีโครงสร้างที่ยอดเยี่ยมและตรงไปตรงมา เพียงแค่ยึดแนวคิดการตลาดเอาไว้ว่า ผู้เข้าชมของคุณจะต้องคลิกปุ่มนั้น และแอ็คชั่นตามเส้นทางที่คุณได้สร้างขึ้นสำหรับพวกเขา หน้า pre-landing page จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก หากประกอบด้วยข้อความโฆษณาที่คอยเอาอกเอาใจผู้เข้าชม: พาดหัว คอนเทนต์ การเรียกร้องให้ดำเนินการ และข้อความท้ายหน้า

  • หน้าเว็บที่มีแหล่งที่มาที่สำคัญฟรี

สินค้าตัวอย่างที่แจกฟรี เช่น แนวทาง หนังสือ ลิสต์ หรือรายการการศึกษาเพิ่มเติมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สิ่งสำคัญคือ มันต้องมีมูลค่าพอสำหรับบุคคลที่คุณต้องการแปลงเป็นลูกค้า

  • หน้า Landing Page ที่มีชุดคำถาม 1 ชุด

มันช่วยให้คุณได้ทำความคุ้นเคยกับตลาดเป้าหมายที่คุณสนใจ คุณอาจเพียงแค่ถามเกี่ยวกับเรื่อง อายุ เพศ หรือสร้างบทสนทนาข้อซักถาม เพื่อพัฒนาการติดต่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • หน้าเว็บเกมมิฟิเคชั่น

มีแม้กระทั่ง บทความตามหลักวิทยาศาสตร์ หลายบทความต่างได้วิเคราะห์ว่า การเล่นเกมมีผลกับการมีส่วนร่วมของแบรนด์และความถูกต้องบ้างหรือไม่? ผลการวิจัยพบว่า มันช่วยให้เกิดความสำเร็จและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้ด้วยฟีเจอร์เกมมิฟิเคชั่น ซึ่งมีผลเชิงบวกในเรื่องการมีส่วนร่วมของแบรนด์ทั้งด้าน (อารมณ์ การรับรู้ และทางสังคม) ไม่ว่าจะเป็น leaderboard, progression bar, loyalty program, หรือ straightforward quest ความสามารถในการกระตุ้นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์: คู่แข่ง การสำรวจ และความกระตือรือร้น

  • หน้าเว็บที่มีการเตรียมพร้อมกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้น

ซึ่งคนที่มีทักษะในการรู้เท่าทันเหตุการณ์นี้จะเหมาะกับเรื่องการจำกัดเวลาและทรัพยากรมาก ๆ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพเมื่อต้องจัดการกับคีย์เวิร์ดทั่วไปอย่าง "ตอนนี้ "," วันนี้ "หรือ" ล่าสุด " ในการเพิ่มอัตรา Conversion คุณสามารถสร้างข้อเสนอพิเศษที่ใช่เวลาที่จำกัด ก็จะจัดว่าเป็นอีกกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยตัวอย่างข้อเสนอจาก Bloomberg ในรูปด้านล่างนี้ จะมีการใช้คีย์เวิร์ดว่า “เร่งด่วน”

Landing page

หน้าเว็บนี้ที่คุณเอาไว้สร้างรายได้ โดยอัตรา Conversion ที่คุณได้มา จะเป็นตัวกำหนดว่าหน้า Landing Page นั้นมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน แม้ว่า จะไม่มีสูตรลับใด ๆ เลยที่จะช่วยทำให้หน้าเว็บของคุณมีอัตรา Conversion สูงภายในชั่วข้ามคืนได้ แต่ก็ยังมีเคล็ดลับบางอย่างที่สามารถช่วยเพิ่มค่า CR ได้อย่างมีนัยสำคัญ:

  • ใช้ภาพที่ได้รับการออกแบบที่น่าสนใจและมีคุณภาพสูง

อย่าพยายามทำให้ผู้ชมตกใจ ด้วยการแสดงเทคนิคภาพมากจนเกินไป มันจะดีกว่ามาก ถ้าจะยึดมั่นในสไตล์ความเรียบง่ายของภาพแทน:

- ด้วยการแยก CTA ออกจากส่วนประกอบอื่น ๆ คุณควรให้ควมาสำคัญกับลูกค้าในเรื่องนี้ด้วย

- แสดงและเปรียบเทียบแอตทริบิวต์และคอลที่สำคัญ

- รวบรวมองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านดำเนินการต่อ

  • หลักฐาน

มีหลักฐานทางสังคมหลายประเภทเลย ที่คุณสามารถเอาไปโชว์ไว้บนหน้า landing page ของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น มีคำรับรอง บทวิจารณ์ กรณีศึกษา Customer Display คำแนะนำจากผู้ที่ให้คะแนน ความหลากหลายของการกดแชร์ ความหลากหลายของลูกค้า/ในแต่ละบุคคล และอื่น ๆ คุณสามารถทำความคุ้นเคยกับตัวอย่างหลักฐานทางสังคนที่ดีได้ ในหน้าเว็บทางการของ Bloomberg 

  • ข้อเสนอที่คุ้มค่าและถูกพัฒนามาอย่างดี

ข้อเสนอที่ทรงคุณค่า คือ คำกล่าวอ้างที่มีความชัดเจน ซึ่งมันช่วยอธิบายถึงข้อได้เปรียบของสิ่งที่คุณกำลังใช้ เพียงแค่วิธีที่คุณแก้ไขปัญหาข้อกำหนดและปัญหาของผู้เข้าชมของคุณ และสิ่งที่เป็นจุดเด่นของคุณในการแข่งขัน คุณลักษณะที่โดดเด่นของ VP ที่เชื่อถือได้คือ ความแตกต่าง มูลค่าที่ประเมิน และความเกี่ยวข้อง ควรสื่อสารกับผู้เข้าชมให้ได้ ภายใน 10 วินาทีแรกของการเยี่ยมชมหน้า Landing Page นี่คือตัวอย่างข้อเสนอจากหน้าเว็บ Nike + 

  • วิดีโออธิบาย

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถพบวิดีโอที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจมากมายจากนักกีฬาที่มีชื่อเสียงบนหน้าเว็บ Nike+ ซึ่งวิธีนี้ช่วยเพิ่มเรตติ้งได้ดีมาก ๆ

- วิดีโอช่วยอธิบาย

- วิดีโอรีวิว

- วิดีโออธิบายเบื้องหลัง

สุดท้ายแล้ว เราขอแนะนำให้คุณลองหาองค์ประกอบที่หลากหลายมาใช้ในหน้า Landing Page และ Prelanding page และปรับเปลี่ยนรูปแบบไปมาบ่อย ๆ เท่าที่คุณจะทำได้


การเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ: แบล็คลิสต์ และ ไวท์ลิสต์

เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวแคมเปญ คุณจำเป็นต้องสร้างแบล็คลิสต์และไวท์ลิสต์ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งที่มาต่าง ๆ หรือหน้าเว็บที่มีราคาสูงเกินไป และไม่มี Conversion ทั้งหมดนี้ควรเพิ่มลงในแบล็คลิสต์ ส่วนไวท์ลิสต์ก็จะเป็น แหล่งที่มาต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มอัตรา Conversion ถ้าหากว่าคุณอยากมีไวท์ลิสต์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมแล้วล่ะก็ คุณต้องมีข้อมูลอย่างน้อย 7 วันในสร้าง ขณะที่แบล็คลิสต์จะต้องใช้เวลา 1-3 วันในการสร้าง โดยคุณจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างของแหล่งที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์ ก่อนที่จะสร้างรายการแบล็คลิสต์และไวท์ลิสต์ ซึ่งโครงสร้างที่ว่านี้มันจะเกี่ยวข้องกับโฆษณาของคุณและรวมอยู่ในรายการที่มีมูลค่า

จะเริ่มสร้างแบล็คลิสต์และไวท์ลิสต์อย่างไรก่อนดี?

ขั้นตอนที่ 1: เริ่มต้นจากการสร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องตามบริบทก่อน โดยยึดจากส่วนประกอบของแคมเปญและกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำลังพยายามเข้าถึง คุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏขึ้นที่ไหนล่ะ? และคุณไม่ต้องการให้โฆษณาปรากฏที่ไหน?

ขั้นตอนที่ 2: พิจารณาว่า โฆษณาที่ปรากฏขึ้นในเว็บไซต์ท้องถิ่นเว็บไซต์ ในประเทศ/ต่างประเทศที่ยอดนิยม และอื่น ๆ นั้นมีมูลค่าหรือไม่

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์กลยุทธ์การโฆษณาทั่วไป คุณเคยซื้อสินค้าโดยตรงจากบาร์ท้องถิ่น หรือว่าเคยซื้อโปรดักดิจิทัลที่เป็นบริการเสริมจากการซื้อสื่อดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าหากเคยซื้อ การเพิ่มเว็บไซต์เหล่านั้นลงในแบล็คลิสต์ของคุณจะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน เพื่อหยุดการทำงานซ้ำไปมาหลายรอบ

ขั้นตอนที่ 4: ทำเช็คลิสต์ของเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบ

ขั้นตอนที่ 5: ต้องมั่นใจว่า คุณมีสิทธิ์เข้าถึงพื้นที่โฆษณาแล้