เว็บเพจและกลุ่มของ Facebook ทั้งคู่มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายที่คุณสามารถหาได้ ตัวอย่างเช่น ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ที่น่าสนใจ พบปะผู้เข้าร่วมที่แตกต่างกัน และเล่าประสบการณ์กับผู้คนต่าง ๆ หางาน ขายสินค้าต่าง ๆ หรือขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพ โดยจะมีผู้คนที่ถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มที่พวกเขาอยากเข้าจริงๆ
การเปิดเพจและกลุ่ม Facebook ไม่เพียงแต่จะได้ผลดีกับการทำร้านค้าออนไลน์และชุมชนธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัททุก ๆ ขนาดที่ต้องการประกาศให้กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขารู้ถึงการมีตัวตน ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในเชิงบวกว่าในเครือข่ายโซเชียลนี้ บริษัทสามารถสร้างชุมชนของแบรนด์ ได้ด้วยความช่วยเหลือของสมาชิกในกลุ่มเอง และจะเป็นสิ่งที่ดีมากถ้าหากคนที่อยากติดตามแบรนด์ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในที่ ๆ เดียวได้
ซึ่งทั้งคู่นั้นเป็นก็แหล่งที่เหมาะสมเพื่อใช้ทำการโปรโมตแบรนด์
ในส่วนของเว็บนี้ จะทำหน้าที่เป็นช่องทางการติดต่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ โดยเป็นผู้ใช้นี้ก็มักจะอยู่ในแต่ละขั้นตอนของการขาย จึงจำเป็นต้องเริ่มต้นแคมเปญโฆษณา จากการรวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ใช้ จากนั้นก็เผยแพร่การอัปเดตนี้ไปยังช่องทางอื่น ๆ หน้าเพจนี้จะช่วยแสดงในลิตส์ผลการค้นหา นอกจากนี้ยังแสดงช่องทางการติดต่อช่องทางอื่น ๆ ของบริษัทด้วย และลูกค้าก็จะสามารถส่งข้อความส่วนตัวถึงคุณได้
ในส่วนของกลุ่ม Facebook ก็จะเน้นไปที่การสร้างและดูแลชุมชน ซึ่งเวลาที่มีผู้ใช้ฝากข้อความไว้บนหน้าเพจ ข้อความนั้นก็จะถูกวางไว้แค่ใน inbox รอให้แอดมินมาตอบเท่านั้น แต่เมื่อเวลาที่ผู้ใช้ได้ทิ้งข้อความไว้ในกลุ่ม ข้อความนั้นก็จะขึ้นที่หน้าฟีดของทุกคนในกลุ่ม และผู้ใช้ทุกคนในกลุ่มยังคงเห็นข้อความนั้น และสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความนั้นได้อีกด้วย ในฐานะแอดมินกลุ่ม คุณสามารถเชิญผู้ใช้งาน Facebook เข้ามาเพื่อตั้งคำถามบนหน้ากลุ่ม หรือแบ่งปันเคล็ดลับดีๆก็ยังได้
โดยทั่วไปแล้วนั้น วิธีการสร้างรายได้ด้วยการเปิดเพจและกลุ่ม Facebook ยังเป็นวิธีที่คล้ายกันอยู่นิดนึง ในปัจจุบันคุณจะสังเกตเห็นว่าจะมีโฆษณาที่มีจำนวนมากในกลุ่ม Facebook และเป็นไปอย่างมีเหตุผล เมื่อไม่นานมานี้ทาง Forbes ได้ประเมินเอาไว้ว่าอุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์จะมีมูลค่ามากขึ้นกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 ซึ่งทำให้รู้เลยว่าทำไม Facebook จึงต้องการใช้ประโยชน์จากกลุ่มการศึกษานี้มาเป็นจิ๊กซอชิ้นสำคัญ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการศึกษาออนไลน์ ก็ถือว่าฟังดูดีเลยทีเดียวเกี่ยวกับการสร้างรายได้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งตอนนี้ก็กลายวิธีหารายได้พิเศษที่ผู้คนมากมายต่างใช้กันอย่างที่คุณเห็นเยอะแยะในปัจจุบัน แต่ด้วยการจัดการกลุ่มออนไลน์บน Facebook นั้นคุณก็จะต้องสร้างสินทรัพย์ที่แท้จริงที่จะดึงดูดจำนวนการเข้าชมเพื่อใช้ตามหาลูกค้าที่คุณต้องการได้ และสร้างยอดขายให้คุณได้ในอีก 5 -10 ปีข้างหน้าได้ เพราะกลุ่มของคุณจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่คุณต้องเริ่มต้นการสร้างรายได้จากการทำเพจ Facebook
คลิกปุ่ม "สร้างกลุ่มใหม่ (Create New Group)" ที่หน้าฟีดข่าวของคุณ ที่ด้านล่างซ้ายมือ
หลังจากนั้นคุณต้องกรอกข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด
ทำการตั้งค่า "การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว" แนะนำให้คุณเลือก "ส่วนตัว" กลุ่มส่วนตัวสามารถค้นหาได้ในแถบค้นหาแต่โพสต์เป็นแบบส่วนตัวได้
หากคุณตั้งค่าเป็น "กลุ่มสาธารณะ (Public Group)" ก็อาจทำให้เกิดการสับสนได้ จากนั้นสมาชิกของคุณจะไม่พบสถานที่ที่ปลอดภัยในการมีส่วนร่วมและตั้งคำถามที่พวกเขาสงสัย แต่ถ้าคุณทำให้เป็น “กลุ่มส่วนตัว (Private Group)” ก็จะไม่มีใครสามารถหากลุ่มได้ เว้นแต่ว่าคุณจะให้ลิงค์เชิญชวนพวกเขาด้วยตนเอง นี่คือเหตุผลที่พวกเราถึงแนะนำให้ตั้งเป็น "กลุ่มส่วนตัว"
จากนั้นก็กรอกรายละเอียด แท็ก ตำแหน่งที่ตั้ง และรายละเอียดอื่น ๆ ที่ยังขาดหาย คุณจะต้องตั้งคำถามให้สมาชิกตอบด้วย ซึ่งคำถามที่คุณตรวจทานผู้ใช้ ก่อนที่จะกดยอมรับให้พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มของคุณได้
โดยจะมีการตั้งคำถามหลาย ๆ ข้อเพื่อกันสแปมเมอร์
คุณอาจเคยทำการขอเข้าร่วมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และมีคำถาม 1 -3 ข้อก่อนที่คุณจะสามารถเข้าร่วมกลุ่มนั้นได้ คำถามเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อผู้ดูแลระบบจำเป็นต้องตัดสินใจว่าบุคคลแบบนี้เหมาะสมกับกลุ่มรึเปล่า ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าคำถามใดคำถามหนึ่งจะเตือนให้สมาชิกใหม่อ่านกฎของกลุ่มก่อนได้รับการยอมรับ และเพิ่มอีกคำถามหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นคำถามเกี่ยวกับการวิจัยต่าง ๆ ของตลาดก็ได้
ตั้งชื่อของกลุ่มให้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มตลาดของคุณเอง เพื่อให้ผู้คนสามารถค้นหากลุ่มของคุณได้ง่าย ๆ ชื่อควรใช้คำที่เป็นมิตรกับคีย์เวิร์ดด้วยนะ ตัวอย่างถ้าหากหน้าเว็บของคุณเกี่ยวกับฟิตเนสชื่อควรเกี่ยวข้องด้วย: "ฟิตเนส แอนด์ ยาก้า "Best practices "," Fitness community of NYC ". สิ่งต่อไปคือความจริงที่ว่าคุณต้องการทำให้แน่ใจว่าสามารถเชิญชวนและขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์: แสดงให้สมาชิกเห็นว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้อะไร และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรอีกบ้าง โดยพื้นฐานแล้วเมื่อผู้คนค้นหากลุ่มที่พวกเขาสนใจพวกเขาจะเห็นชุมชนต่าง ๆ มากมาย และคุณจะได้ทำการแข่งขันกับกลุ่มอื่น ๆ ถ้าหากคุณต้องการที่จะโดดเด่น
หากชื่อเรื่องของคุณต้องมีความน่าสนใจมากพอที่จะให้ผู้คนจะคลิก และสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นบนหน้าเพจของคุณก็คือรูปหน้าปก รูปภาพที่ใช้ต้องดูน่าสนใจ คุณสามารถใช้ Canva ช่วยด้วยก็ได้นะ สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับ Canva คือคุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักออกแบบกราฟิกมืออาชีพเลย ใน Canva ถ้าทำทุกอย่างออกมาดูดีคุณก็สามารถสร้างภาพที่ดูสวยงามและดูเป็นมืออาชีพได้เลยนะ และประโยชน์อีกอย่างของโปรแกรมนี้คือความจริงแล้วมันฟรี
อีกด้านหนึ่งที่สำคัญคือการตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดเกี่ยวกับความคาดหวังจากกลุ่มของคุณที่เขียนไว้ในคำอธิบาย นอกจากนั้นคุณก็ควรสร้างอำนาจบางอย่างขึ้นมา — หากคุณเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในกลุ่ม คุณสามารถเล่าจากประสบการณ์ตรงของคุณเองได้เลย หรือคุณสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาในกลุ่มและทำการถาม - ตอบแบบสด ๆ กับพวกเขาก็ได้เป็นต้น
ในขั้นตอนการสร้างเพจก็ค่อนข้างเหมือนกันเลย
คลิกที่ลิงค์คลิกที่เซตข้อมูลบริษัท นำข้อมูลโปรไฟล์ส่วนตัวของคุณ และกรอกข้อมูล
ความไว้วางใจของผู้ชมก็จะขึ้นอยู่กับหน้าเพจที่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างละเอียด และมีความถูกต้องมากที่สุด
คุณควรเพิ่มช่องทางติดต่อบริษัทของคุณให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเพิ่มได้: ลิงค์ไปยังเว็บไซต์ หรือวิธีการที่สะดวกในการสื่อสารได้ ให้เพิ่มที่ใน "ติดต่อเรา (Conteact us)" และระบุหมายเลขโทรศัพท์ และเพิ่มอีเมลในส่วน "ผู้ติดต่อ (Contacts)"
มีหลายวิธีที่แตกต่างกันออกไปที่จะดึงดูดสมาชิกให้เข้ากลุ่มใหม่ ๆ แบบนี้ได้ หากคุณมีลิสต์รายชื่ออีเมลที่ต้องดึงเข้ากลุ่มอยู่แล้ว คุณสามารถส่งอีเมลให้พวกเขาเกี่ยวกับกลุ่มของคุณก็ได้ หากคุณมีแชนแนล YouTube แล้วก็ประกาศให้ผู้ที่ติดตามได้รู้ว่าคุณก็มีกลุ่มใน Facebook โดยใส่ลิงค์เพื่อเชิญเข้าไปยังกลุ่มของคุณในช่องคำอธิบายของคุณ หรือโปรโมตคอนเทนต์ของคุณจากบัญชีส่วนตัวของคุณเองได้ไว้เป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้คุณก็ยังสามารถเข้าร่วมกลุ่มอื่น ๆ อีก 5 -10 กลุ่มที่เกี่ยวกับกลุ่มตลาดเฉพาะ และทำการโพสต์ได้เลยถ้าหากได้รับอนุญาต (ซึ่งคุณจำเป็นต้องติดต่อผู้ดูแลระบบก่อน และซื้อสิทธิในการโพสต์ด้วย ถ้าหากจำเป็น) โปรดจำไว้ว่ายิ่งสมาชิกในกลุ่มของคุณมีส่วนร่วมกับมากเท่าไร ระบบของ Facebook ก็จะทำการโปรโมตกลุ่มของคุณมากขึ้นเท่านั้น
วิธีที่นิยมในการโปรโมตกลุ่มก็จะทำการโปรโมตเองแบบอัตโนมัติ — หลังจากที่คุณได้เตรียมตัวไว้ดีแล้ว
คุณต้องโปรโมตกลุ่มของคุณในทุก ๆ แห่งเท่าที่จะเป็นไปได้ในเดือนแรก ๆ ให้เหมือนกับเป็นภารกิจประจำวันของคุณไปเลย หลังจากนั้นกลุ่มของคุณจะเข้าไปอยู่ในระบบโปรโมตให้แบบอัตโนมัติสำหรับกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย ซึ่งระบบก็จะโปรโมตกลุ่มของคุณให้กับคุณอย่างต่อเนื่อง จากนั้นคุณจะต้องทำงานหนักอีกเล็กน้อย เพื่อขยายชุมชนของคุณ หลังจากผ่านไป 30 วันแรกของการโปรโมตกลุ่มครั้งใหญ่
นี่คือเช็คลิสต์ที่มีประโยชน์มาก เอาไว้ในการโปรโมตกลุ่มของคุณให้ประสบความสำเร็จ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเช็คในทุก ๆ จุดดีแล้ว
เช็คลิสต์ของโปรโมชั่นกลุ่มใหญ่:
อย่าลืมว่าต้องเพิ่ม "ตารางโปรโมชั่น"หรือ"กระทู้ประจำสัปดาห์" เอาไว้ด้วย
ด้วยสิ่งเหล่านี้ คุณก็สามารถใช้จินตนาการของคุณในการทำคอนเทนต์ได้ หรือเพียงแค่เริ่มต้นทำและค่อย ๆ สร้างหัวข้อสำหรับแต่ละวันในสัปดาห์
ตัวอย่างเช่น "วันโปรโมชั่น" หรือ "วันโปรโมชั่น" ก็ได้ ที่สมาชิกสามารถโพสต์บล็อกต่าง ๆ ลงในกระทู้ได้ อย่าลืมว่าต้องโพสต์กฎของแต่ละกระทู้: ให้อณุญาติและไม่ให้อณุญาติอะไรบ้าง คุณสามารถเขียนกฎเอาไว้บนภาพที่คุณอัปโหลดได้
อันดับแรกคุณควรเปิดใช้งานเครื่องมือจัดการการสร้างรายได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย ในการเปิดใช้งานตัวจัดการการสร้างรายได้นี้ ขั้นแรกคุณต้องกดยอมรับข้อกำหนดในการให้ความร่วมมือกับ Facebook ในส่วนของการสร้างรายได้นี้ก่อน
การเปลี่ยนผู้แทนไปเป็นสมาชิกทางอีเมล เป็นวิธีที่สามารถลดการเกิดภัยคุกคามในอนาคตได้ ช่องทางของกลุ่มโดยอัตโนมัติ ช่องทางกลุ่มจะช่วยเพิ่มสมาชิกในกลุ่มทุกคน ลงในรายชื่ออีเมลของคุณ เมื่อพวกเขาสมัครเข้าร่วมกลุ่มของคุณแล้ว และได้รวมที่อยู่อีเมลของพวกเขาไว้ในส่วนนี้ "ตอบคำถามเหล่านี้" อีเมลต้อนรับจะทำการส่งไปให้ผู้ใช้โดยทันที
นี่ก็เป็นองค์ประกอบหลักในลิสต์การสร้างรายได้ คุณไม่สามารถสร้างลิสต์รายชื่ออีเมลคุณที่จะต้องเชื่อมต่อกับผู้ติดตามของคุณได้ เนื่องจากว่า Facebook เปลี่ยนนโยบายค่อนข้างบ่อย และมีความเป็นไปได้ที่จะถูกแบน ด้วยช่องทางกลุ่มต่าง ๆ คุณจะมีการเชื่อมต่อกับผู้ติดตามของคุณอยุ่เสมอ
การโฆษณาที่มีศักยภาพและพาร์ทเนอร์ที่ต้องสนับสนุนก็ต้องการที่จะเห็นกลุ่มบุคคลที่มีความกระตือรือร้นหรือตรงกับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาอย่างใกล้ชิด นี่คือเหตุผลว่าทำไมการกำหนดกลุ่มเป้าหมายถึงมีความสำคัญมาก ดังนั้นก็ควรให้ความสนใจกับกลุ่มเป้าหมาย ในขณะที่คุณก็ต้องพัฒนากลุ่มของคุณต่อไปอีกเรื่อย ๆ
โดยโฆษณาต่าง ๆ ในอนาคตและพาทเนอร์ที่คอยสนับสนุนไม่ต้องการเห็นพวกเสียงรบกวนที่เยอะเกิน หรือที่เราเรียกว่าสแปมในชุมชน สิ่งนี้จะส่งสัญญาณไปยังผู้จัดการฝ่ายการตลาดรู้ว่าข้อความของพวกเขาจะจมอยู่ในสแปม ซึ่งสแปมพวกนี้ทำให้ชุมชน Facebook ดูเหมือนเป็นแพลตฟอร์มที่น่าดึงดูดผู้เข้าชมน้อยลงสำหรับงานโฆษณาและการตลาด
โดยปกติการโพสต์สแปมห่วย ๆ ก็มักจะส่งผลเสียต่อชุมชนมากอยู่แล้ว หากคุณพยายามที่จะสร้างรายได้จากมันสิ่งสำคัญมากคือคุณต้องติดตามและควบคุมสิ่งที่โพสต์ในกลุ่มของคุณให้ได้
ตรวจสอบว่าโปรแกรม Affiliate ที่มีข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจและมีลูกเล่นกับในตลาดบริการ/โปรดัก/คอร์สของลูกค้าของคุณรึเปล่า ในทุก ๆ กลุ่มตลาดจะมีรายชื่อบริษัท Affiliate จำนวนมาก ดังนั้นคุณสามารถพิมพ์ค้นหาคำว่า "อุตสาหกรรมของคุณ/กลุ่มที่สนใจ" + "Affiliate" เพื่อดูว่ามีอะไรแสดงขึ้นให้คุณเห็นบ้าง
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถร่วมมือกับทาง Amazon ได้ โดยจะมี การตั้งค่า Affiliate นักฆ่าที่จะได้รับ 1 -10% ของยอดขายทั้งหมดที่คุณทำได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับหมวดหมู่ของโปรดัก ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถโปรโมตโปรดักต่าง ๆ ได้ ในกลุ่ม Facebook ของคุณ และก็ช่วยให้ได้รับส่วนแบ่งจากการขายทุกครั้งที่คุณสร้างรายได้
มีโอกาสดีที่บริการช่วยเหลือ รวมถึงเครื่องมือจำนวนมากที่คุณสามารถใช้บางโปรแกรม Affiliate ที่มีอยู่ – เพียงแค่คุณต้องลองถามหรือตรวจสอบเว็บไซต์ของพวกเขาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานแสดงที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ช่วยเสมือนจริง
นอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมของ Affiliate แล้วคุณยังสามารถเลือกดูข้อเสนอ CPA (ค่าใช้จ่ายต่อการกระทำ) ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากบริษัทกำลังค้นหาโดยการทำแบบสำรวจ และคุณก็ทำการโปรโมตให้กับชุมชนในการสำรวจนี้ด้วย ในแต่ละครั้งที่ดำเนินการโดยสมาชิกในกลุ่ม บริษัทจะจ่ายเงินจำนวนที่ได้แก้ไขให้แล้วด้วย แต่ว่าในบางกรณี สิ่งเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดผลตอบแทนน้อยลงได้อีกด้วย ยกเว้นว่าสมาชิกในกลุ่มนั้นจะขยันกันจริง ๆ
ในการปฏิบัติตามแนวทาง FTC (หรือหลักปฏิบัติที่บังคับใช้ในประเทศของคุณ) อย่าลืมด้วยว่าต้องเปิดเผยการมองเห็นที่เหมาะสมของโพสต์ของคุณด้วย โดยควรทำให้เห็นได้ชัดว่ามีการเชื่อมต่อลิ้งค์ Affiliate รวมอยู่ในข้อความของคุณด้วย ตัวอย่างเช่น บน Facebook ฉันเคยเห็นมาหลายโพสต์แล้วที่ใช้แฮชแท็กในการเปิดเผยโพสต์ว่า: #Affiliatelink
ในการตั้งคำถามต้องเพิ่มความน่าเชื่อถือให้โฆษณา Facebook หรือเฉพาะในโพสต์รายวันด้วย โดยโฆษณาบน Facebook จะมีการระบุว่าได้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว ดังนั้นจึงดูเหมือนไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ฉันไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้เลย
จริง ๆ แล้วเว็บไซต์สื่อโซเชียลออนไลน์ก็มีแนวทางของตัวเอง หากคุณเลือกที่จะไม่รับรองความสัมพันธ์กับ Affiliate บน Facebook แต่ในทวิตเตอร์นั้นอาจแตกต่างกันไปโปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ทำความคุ้นเคยกับแนวทางของพวกเขาด้วยแล้ว
สุดท้ายนี้หากโปรแกรม Affiliate ต้องการการโปรโมตบนโซเชียลมีเดีย คุณก็ควรค้นหาดูด้วย
เคสตัวอย่าง: ลิซและสเตฟานี สองแม่ลูกจากเมืองแมดิสัน ในรัฐคอนเน็กติกัต โดยที่พวกเขานั้นก็ไม่ได้เป็นอินฟลูเอนเซอร์กันมาก่อน แต่พวกเขาต่างรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่ถนัดในการแนะนำโปรดักและ "เป็นคนชอบใช้ Amazon" จึงประกาศตนเองว่าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นี้บ่อยที่สุดแล้ว
ในเดือนกรกฎาคมพวกเขาได้พูดคุยกันแล้วว่าจะสร้างกลุ่ม Facebook เพื่อเอาไว้ใช้แนะนำโปรดักให้กับเพื่อน ๆ รอบตัวของพวกเขาเอง (ซึ่งก็เป็นผู้ซื้อ Amazon ที่มีจำนวนมากเช่นกัน) และได้รับเงินสดเล็กน้อยด้วยลิงค์ Affiliate
โดยปกติแล้วบริษัทสื่อโฆษณา บล็อกเกอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ก็จะเอาลิงค์ Affiliate มาแปะไว้ หากปิดการขายได้ทางอีคอมเมิร์ซ ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวงการสื่อโฆษณาก็จะมีความร่วมมือแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยจะเกิดขึ้นผ่านเว็บไซต์ที่ช่วยรีวิวโปรดักเช่น Wirecutter, The Strategist และ Buzzfeed Reviews
นี่ก็คือตัวอย่างของลิงค์ Affiliate ที่มักใช้ในกลุ่ม Facebook
นอกจากนี้ยังอาจเป็นประโยชน์มาก ๆ ในการสร้างโปรดัก หรือบริการของคุณเองเพื่อเอาไว้ทำการขายในกลุ่มของคุณ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะได้ผลดีมากมาย: คอร์สการฝึกอบรมออนไลน์, การฝึกสอนตัวต่อตัว, กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ, อีบุ๊ค, คู่มือ, สถานที่พักผ่อน ฯลฯ โดยคุณเองก็สามารถจินตนาการของคุณเองได้
แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการสร้างสินทรัพย์ที่เป็นของคุณเองด้วย เพื่อที่จะขายมันให้กับสมาชิกในชุมชน Facebook และมันถือเป็นวิธีที่คุณสามารถใช้ร่วมกันกับกลยุทธ์การตลาดทางอีเมลได้อย่างลงตัวแน่นอนเลย ในทางที่ดีที่สุดคือการจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมทีเดียว (และทำจากจุดเริ่มต้นให้ถูกต้อง) ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณจับคู่การเปิดตัวล่วงหน้า
โดยจัดตั้งโปรดัก/บริการของคุณเองเพื่อขายแบรนด์ของคุณให้คุ้มค่าจากที่ได้ลงทุนไป หากคุณสร้างรายได้จากปาร์ตี้บน Facebook อย่างถูกต้อง แสดงว่าคุณกำลังสร้างให้เป็นแบรนด์ของคุณเองแล้ว แต่ก็อย่าทำพลาดก็แล้วกัน...
เรามาดูกันที่ประเภทของโฆษณา Facebook ที่พบเห็นได้มากที่สุด โดยที่ทุกคนนั้นสามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่แบรนด์ดัง ๆ ไปจนถึงแบรนด์ของร้านค้าท้องถิ่น
รูปแบบวิดีโอต้องเป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับผู้ใช้ Facebook โปรดอ่านกฎให้เข้าใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดกั้นก่อนสร้างวิดีโอ แต่มันจะดีถ้าหากคุณทำให้เวลาของวิดีโอมันสั้นลงและดูกระชับที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่วิดีโอจะต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมไว้ด้วย
ด้านรูปภาพควรดึงดูดความสนใจ อธิบายและเติมเต็มด้วยข้อความโฆษณา
โดยที่โฆษณาและภาพของคุณต้องเกี่ยวข้องกับผู้ชมที่กดเข้ามาดูโฆษณาด้วย หากโฆษณาของคุณไม่สอดคล้องกับผู้ชมของคุณล่ะก็ มีโอกาสน้อยมากที่ผู้ชมจะดูโฆษณาซ้ำอีกครั้ง เลิกคาดหวังกับการมีส่วนร่วมได้เลย หากได้ดูโฆษณาที่นอกเรื่องอยู่บ่อย ๆ ก็เป็นการเสียเวลาและเงินไปเปล่าประโยชน์
คุณสามารถคลิกบนบล็อกโฆษณาที่มีภาพประกอบ และมีลิงค์ระบุไว้ให้ติดตามอีกด้วย
คุณลักษณะที่มีน่าทึ่งของโฆษณาเลื่อนของ Facebook — ศักยภาพในการกระตุ้นให้เกิดความสนใจที่แตกต่างกัน ภายใต้โปรดักที่มีประเภทที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งนำไปสู่หน้า Landing Page ที่แตกต่างกันอีกด้วย แต่คุณจะไม่ต้องใช้รูปแบบโฆษณาอื่น ๆ เลย ยังมีพวกร้านเสื้อ ร้านขายผ้าน้ำหอม/เครื่องสำอางเครื่อง เครื่องใช้ในครัวเรือน ฯลฯ ที่มีความยืดหยุ่นพอที่จะใช้รูปแบบนี้เกือบทั้งหมด
รูปแบบนี้รวมถึงข้อความโฆษณาที่คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมและใช้งานได้ โดยไม่ต้องออกจากโซเชียลเน็ตเวิร์คเลย แม้ว่าในทางเทคนิคแล้ว คุณจะขายโปรดักของคุณในราคาที่ลดลง แต่การโฆษณาที่มีข้อเสนอถือเป็นกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในการดึงดูดลูกค้าใหม่
ซึ่งจะอยู่ในส่วน "ข้อเสนอ" ในคอลัมน์ด้านซ้าย
ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับโปรดักหรือบริการได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้เมื่อคุณทำการแจกส่วนลดให้กับลูกค้าเดิมและกลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่บน Facebook ได้ซึ่งคุณอาจเพิ่มการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดียด้วย ลูกค้าที่เห็นประโยชน์ของการติดตามบัญชีแบรนด์ของคุณในตอนแรกเพื่อรับข้อเสนอเพิ่มเติม ก็จะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคอนเทนต์ในโซเชียลที่เหลืออยู่ของคุณด้วยเช่นกัน มันเป็นเคสที่ผลประโยชน์ได้ทั้งสองฝ่าย
โฆษณาข้อเสนอยังสามารถช่วยให้คุณมียอดการเข้าชมที่มากขึ้น จากจุดต่าง ๆ ตามช่องทางการตลาด
มี 700 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้งานอีเว้นท์บน Facebook ในแต่ละเดือนเพื่อทำอีเว้นท์การตลาดของพวกเขาเอง และมีคน 35 ล้านคนจากสาธารณะเข้ามาดูอีเว้นท์ Facebook ในแต่ละวันอีกด้วย โดยโฆษณาประเภทนี้จะนำผู้เข้าชมไปยังหน้าอีเว้นท์ใน FB พร้อมลิงค์ไปยังหน้าขายบัตร
หรืออาจนำไปสู่เว็บไซต์ก็ได้ หากคุณกำลังสร้างแคมเปญโฆษณาโดยแยกไว้ต่างหาก
คุณสามารถเพิ่มอีเว้นท์ของคุณได้ แต่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพเป็นอย่างแรกก่อน ด้วยการกระจายตัวแบบทั่วไปเพื่อทำให้คุณได้รับการตอบสนองมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อความอิสระ หากมีอีเว้นท์ที่ได้รับแรงดึงดูดภายในพื้นที่ได้จัดที่อยู่ใกล้ ๆ อีเว้นท์นั้นสามารถปรากฏขึ้นในส่วน "อีเว้นท์ที่คุณอาจชอบ" และหากมีเพื่อนหลาย ๆ คนของผู้ใช้ Facebook นั้นชอบอีเว้นท์นั้นเหมือนกัน มันก็สามารถปรากฏขึ้นในส่วน "กิจกรรมที่เป็นที่นิยมของเพื่อนคุณ"
การกำหนดเป้าหมายโฆษณาซ้ำ จะพบผู้ซื้อที่อาจเป็นไปได้ตามสิ่งที่เขาเคยทำไว้เองก่อนหน้านี้: ข้อความที่เคยค้นหา การเข้าชมเว็บไซต์ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เกิดการยกระดับทั้งการมีส่วนร่วมของโฆษณา แบรนด์โฆษณาและการรับรู้ อัตราการคลิกผ่าน และคอนเวอร์ชั่นในระดับที่ต่ำกว่าค่า CPC เมื่อเทียบกับแคมเปญส่วนมากที่กำหนดเป้าหมายไปยังผู้ชมที่เย็นชา
โพสต์บน Facebook แบบชำระเงินที่มีการโปรโมตในฟีดจะมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ มาพร้อมกับคำอธิบายอย่างละเอียดโฆษณาขึ้นพร้อมลิงค์ที่เห็นได้ชัดในภาพ
ซึ่งการโฆษณาประเภทนี้ถือเป็นที่น่าสังเกต โดยที่คุณจะมีตัวเลือกที่จำกัด สำหรับการตั้งค่าผู้ชมในกลุ่มเป้าหมาย
สรุป
คุณจะเริ่มได้เห็นเสียงตอบรับ เมื่อคุณเรียนรู้วิธีสร้างชุมชน Facebook และเริ่มสะสมสมาชิกในชุมชน หากการมีส่วนร่วมก็จะทำให้กลุ่มของคุณ อยู่ในการโปรโมตอัตโนมัติ หากคุณปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มของคุณได้รับการจัดตั้งอย่างถูกต้องแล้วตั้งแต่วันแรก
เพียงแค่ทำตามไม่กี่ขั้นตอน จากนั้นคุณก็จะสามารถสร้างรายได้ด้วยกลุ่มหรือเพจของคุณเองได้แล้ว