คุณนิค แชคเคิลฟอร์ด (Nick Shackelford) เขาเป็นเอเจนซี่การตลาดอีคอมเมิร์ซสัญชาติอเมริกันแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Structured Social และ เขาเคยใช้จ่ายด้วยเงินส่วนตัวไปมากกว่า $100,000,000 บนโฆษณาบน Facebook และด้านเอเจนซี่ของเขาก็ใช้จ่ายไปมากกว่า $15,000,000/เดือนซึ่งมันบ้าระห่ำมาก เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการใช้โฆษณาบน Facebook
คุณนิคเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังแคมเปญโฆษณาบน Facebook ที่ใหญ่ที่สุดเช่นเดียวกับบริษัท Apple ที่มีโฆษณาทั้งงานโปรโมต iPhone 7, iPad Pro และ iWatch นอกจากนี้เขายังเป็นทั้งเจ้าของและผู้อยู่เบื้องหลังร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่สร้างเทรนฮิตๆอย่างเช่นสินค้าของเล่น ”ฟิดเจ็ท สปินเนอร์ (fidget spinners)” ของในปี 2017 และในปัจจุบันอีกด้วย เขากำลังดำเนินการเอเจนซี่การตลาดของ Structured Social และ Geek Out Affiliate Mastermind
ในบทความนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การเดินทางของเขา ตั้งแต่เมื่อก้าวออกจากอาชีพนักฟุตบอลสู่การเป็นหนึ่งในผู้ซื้อสื่อโฆษณา Facebook ตัวท็อปของวงการ ในด้านประสบการณ์ของเขาในอุตสาหกรรมการตลาดออนไลน์และแนวคิดของเขาเกี่ยวกับวิธีการเปิดตัวและส่งเสริมแบรนด์ให้ยั่งยืนด้วยการทำโฆษณาบน Facebook
ประวัติของคุณนิค แชคเคิลฟอร์ด
คุณนิคเกิดและเติบโตมาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเขาเติบโตมากับการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตู ในวัย 16 ปี เขายังเคยเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับทีมแอลเอแกแล็กซี่ในตำแหน่งผู้รักษาประตูตัวสำรอง จนกระทั่งเขากลับมาคิดว่ามันไม่ใช่ทางของเขาเลย ในฐานะผู้เล่นตัวสำรอง เขามีรายได้เพียง $30,000/ปี และเขารู้สึกว่า เขาไม่สามารถไปได้มากกว่านี้แล้วในเส้นทางนักฟุตบอล ขณะที่เขายังอยู่ภายใต้สัญญากับทางสโมสร
ในเวลาว่างๆ เขามักจะเข้าไปมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าคอร์สเรียนวิชา Copywriting Journalism เขาเคยฝึกงานที่เอเจนซี่ด้านการตลาด ที่ให้โอกาสเขาเข้าทำงานในตำแหน่งเอเจนซี่ด้านการตลาด ถือว่าเป็นประสบการณ์ด้านการตลาด นอกจากนี้เขายังเริ่มเปิดคอร์สฝึกเด็กเล็กสำหรับกีฬาฟุตบอล ซึ่งช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้น $40 ถึง $50 ต่อวันนอกเหนือจากเงินเดือนในสโมสร LA Galaxy
การทำงานที่บริษัท PepsiCo
ระหว่างที่ฝึกเด็กๆเขาได้พบกับคุณเรเชล บัคกี้ (Rachel Bucky) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครองของเด็กๆ คุณเรเชลเป็นผู้บริหารด้านการตลาดของ CPG ที่ PepsiCo และเธอได้เสนอตำแหน่งให้เขาเพื่อมาเข้าร่วมทีมการตลาดในบริษัท Pepsi งานของเขาคือการเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ และให้ศึกษามุมมองและแนวคิดจากมุมมองของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นงานแรกของเขาในด้านการตลาดและทำให้เขาได้มีประสบการณ์ด้านการตลาดขนาดใหญ่ของแบรนด์
"ผมได้รับการว่าจ้างให้เป็นกระบอกเสียงของกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ประจำบริษัท Pepsi เพราะส่วนใหญ่คนในทีมนั้นจะเป็นชายและหญิงอายุ 40 - 60 ปีอยู่ด้วย ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งผมกำลังนั่งอยู่ในที่ประชุมกับคนที่อายุมากกว่า พวกเขาถามว่า "เราจะผลักดันรายได้ให้มากขึ้นไปอีกได้อย่างไรบ้าง? ผมคิดว่า "ถ้างั้นก็ลองขายในเฟสบุ๊คสิครับ" ดังนั้นมีเอเจนซี่ฝ่ายครีเอทีฟคนหนึ่งก็เข้ามาขอทำไอเดียนี้ของผมทันที และจากนั้นพวกเขาก็ได้รับสัญญาจ้างอยู่ที่ $50,000 และพวกเขาน่าจะเปิดตัวสินค้าในอีก 2 เดือนข้างหน้า" คุณนิคได้กล่าวเอาไว้
คุณนิคตกใจที่พวกเขาได้รับเงินถึง $50,000 อย่างง่ายดายมากๆ เพียงแค่ทดลองไอเดียของเขาในการโปรโมตบน Facebook นี่ก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับ Facebook Ads จริงๆจังๆ
เมื่อเปลี่ยนไปทำโฆษณาบน Facebook
คุณนิคถึงกับต้องบอกว่ามันน่ากังวลและน่าจำเป็นต้องศึกษาการโฆษณาบน Facebook ให้กับคุณราเชลจากที่เธอได้เชื่อมโยงเขากับหลานสาวของเธอคนที่แนะนำคุณนิคผ่านการซื้อสื่อโฆษณาบน Facebook จากนั้นก็มีเอเจนซี่ในลอสแอนเจลิสได้จ้างคุณนิค ซึ่งเขาจะได้รับผิดชอบแบรนด์และบริษัทที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งรวมไปถึง Ford Nissan และอื่นๆอีกมากมาย
ในช่วงนั้นของเขาที่นั่น เอเจนซี่ได้เซ็นสัญญากับ Apple และคุณนิคได้รับหน้าที่ให้เป็นทีมงานที่จะดำเนินการแคมเปญ Facebook เพื่อส่งเสริมการเปิดตัว iPhone 7, iPad Pro และ iWatch
คุณนิคบอกว่า "เหมือนเป็นของขวัญเพราะมันเป็นการริเริ่มครั้งแรกของผมเกี่ยวกับการทำงบประมาณการตลาด ก่อนหน้านั้นผมยังมีเงินเดือนแค่ $40,000 ถึง $50,000 อยู่เลย และผมมีบ้านขนาดกลางๆในแคลิฟอร์เนีย ในตอนนั้น ทันทีที่พวกเขาให้งบประมาณกับคุณ พวกเขาจะถามก่อนว่า "นี่ๆคุณต้องการทำการตลาดให้กับลูกค้ากี่คนบ้างในสหราชอาณาจักร?" จากนั้นเราก็จะตรวจสอบความประทับใจที่ต้องใช้และค่าใช้จ่ายจากนั้นพวกเขาจะบอกว่า "นี่คือเงินหลายล้านดอลลาร์เอาไปเล่นดีๆด้วยล่ะ" ซึ่งนั่นมันเป็นก้อนเงินมหาศารที่สุดในชีวิตของผมเลย "
การใช้แคมเปญบน Facebook ของ Apple
ระหว่างปี 2016 และ 2017 ของคุณทิม คุก (Tim Cook) CEO ของทาง Apple มีความคิดที่จะนำการตลาดของพวกเขาไปสู่ช่องทางดิจิทัลก่อนที่ Samsung คู่แข่งของเขาจะตามทัน ส่วนทีมงานของคุณนิคได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโฆษณาบน Facebook ในทุกพื่นที่ทั่วโลก เพื่อโปรโมตฮีโร่โปรดักท์ของ Apple ในเวลานั้นซึ่งได้แก่ iPhone 7, Ipad Pro และ iWatch ทีมของเขาได้รับงบประมาณกว่า $100,000,000 สำหรับใช้ทำแคมเปญนี้
ทีมงานได้แบ่งงานออกเป็นภูมิภาคต่างๆ เช่น อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย แปซิฟิก CIS และอื่นๆอีกมากมาย งบประมาณนี้ถูกแบ่งและนำไปใช้ตามที่พวกเขาได้รับจำนวนการแสดงผลทั้งหมดในแต่ละภูมิภาค เป้าหมายคือเพื่อทำให้ผู้ใช้ Facebook ทุกคนเห็นโฆษณาพวกเขาอย่างน้อย 2x หรือ 3x โดยสมาชิกในทีมจะเลือกภูมิภาคก่อนรันแคมเปญและได้รับเงินสดมาเพื่อซื้อแคมเปญเหล่านั้น
คุณนิคบอกว่า "มันจะเปลี่ยนความเข้าใจทั้งหมดที่ผมรู้เกี่ยวกับงบประมาณและสิ่งที่เรานั้นทำได้ เมื่อคุณทำงานกับแบรนด์จำนวนมากที่มีการระดมเงินทุน หรือมีการซื้อขายแบบสาธารณะพวกเขาดูเหมือนจะมีเงินทุนมากมายต้อง ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องคิดเกี่ยวกับการได้รับ ROI มันเหมือนกับว่า "เราจะผ่านอุปสรรคของเรื่องงบประมาณนี้ไปได้ยังไงกันดี?" หรือไม่อย่างนั้น ผมก็จะไม่ได้รับงบประมาณนี้อีกในไตรมาสถัดไป เพราะว่า พวกเขาคาดหวังกับผม และเชื่อกันว่าผมไม่สามารถจัดการกับเงินก้อนนั้นได้หรอก"
พวกเขาจึงได้กำจัดงบประมาณนั้นออกไป โดยนำไปปล่อยไว้ทุกๆที่บน facebook
บทเรียนที่คุณนิคได้รับจากการทำแคมเปญของ Apple บน Facebook
คุณนิคบอกว่าในขณะนั้น ทาง Facebook จะเปิดตัวโฆษณาของพวกเขาให้เห็นแค่ในฟีดข่าวเท่านั้น เพราะว่าไม่มีจุดโฆษณาอื่นๆ เช่น Instagram Stories, Facebook Stories และอื่นๆอีกมากมาย
เขาเรียนรู้ว่าถ้าคุณจ่ายไปมากพอหรือถ้า Facebook เห็นว่าคุณมีความสำคัญพวกเขา พวกเขาจะให้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่กับคุณ Facebook ให้กลไก API มาจัดการโฆษณาแก่คุณและเครื่องมือบางอย่างที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
คุณนิคกล่าวว่า "ในเวลานั้นเอง Facebook จะมาหาเราและพูดกับเราว่า สวัสดีครับ ในผู้จัดการธุรกิจของคุณ คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกจำกัดของกลุ่มนี้ได้นะ เพราะคุณเป็นถึง Apple และคุณมีงบประมาณเยอะมากขนาดนี้ ยังไงคุณก็เข้าถึงผู้ชมกลุ่มนี้ได้แน่นอนอยู่แล้ว " โดย BM ธรรมดาๆแต่ก็มีผู้ชมประมาณ 10 ล้านคน แต่ที่นี่เรามีผู้ชมถึง 20 ล้านคนโดยที่คนอื่นไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มนี้ได้ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการจำกัดข้อมูลที่เรามีในตอนนี้ ข้อมูลผู้ชมที่แสดงถึง รายได้ เชื้อชาติ และอื่นๆ ลองนึกภาพว่าการมีทั้งข้อมูลรายได้ เชื้อชาติ และการกำหนดเป้าหมายภูมิศาสตร์ คล้ายๆกับว่าคุณกำลังเรียกใช้โฆษณาเครดิตอยู่ คุณสามารถทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายได้นะ"
การย้ายออกจากบริษัท Apple
คุณนิคได้ย้ายออกจาก Apple ไปแล้ว เพราะว่าช่วงของการทำงานหลังๆ มาเริ่มทำให้เขาหงุดหงิด เพราะไม่เห็นค่าของผลตอบแทน และผล ROI ไม่มีแคมเปญอื่นๆ เลย นอกจากการขอให้คนอัพเกรดโทรศัพท์ของพวกเขาก่อน เพราะพวกเขาอยากให้ผู้คนใช้แต่โทรศัพท์ Apple รุ่นใหม่ๆ มากกว่าและพวกเขาควรเลิกใช้รุ่นเก่าๆด้วย เป้าหมายหลักคือ "การเข้าถึง" เพราะพวกเขาต้องการได้ความสนใจในสินค้า ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยการริเริ่มของคุณทิม คุก "เรากำลังจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลแล้วนะ" คุณนิคและทีมงานของเขาก็เชื่ออย่างนั้นและนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องลาออก
อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้จะนำเขาไปสู่ความสำเร็จจากที่เขาได้รับจากการตอบสนองโดยตรงของฟิดเจ็ท สปินเนอร์
ความฮิตของ ฟิดเจ็ท สปินเนอร์ (Fidget Spinners)
หลังจาก Apple, Nick ร่วมลงทุนในการเริ่มต้นแบรนด์อีคอมเมิร์ซ นิคและหุ้นส่วนของเขาเริ่มก่อตั้งแบรนด์ Fidgetly ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทรนด์ฟิดเจ็ท สปินเนอร์ ที่ครองโลกอินเทอร์เน็ต ในแบรนด์ Fidgetly นี้ นิคบอกว่าพวกเขามีรายได้ถึง $1,000,000 ภายในเดือนที่สองของการทำธุรกิจ
คุณนิคบอกว่าเจ้าฟิดเจ็ทนี้สอนให้เขารู้ว่าถ้าคุณมีสินค้าที่ถูก เวลาที่เหมาะสม ตำแหน่งที่ถูกต้องคุณก็จะเป็นผู้ชนะได้อย่างแน่นอน
ตามที่เขาบอกเขาบอกว่ามุมที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือ การขายฟิดเจ็ทสปินเนอร์ให้กับกลุ่มครูในโรงเรียนที่อยากซื้อเป็นจำนวนมาก มันถือเป็นเทรนที่เขาสังเกตมาก่อนแล้วและเขาต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาจึงสนใจมันมาก พวกเขาส่วนใหญ่บอกว่าพวกเขาเป็นครูของเด็กๆ ที่มีความต้องการเป็นพิเศษ และตัวสปินเนอร์พวกนี้จะช่วยให้เด็กๆอยู่ในความสงบได้ และไม่แสดงนิสัยเลือกหยิบนู้นหยิบนี้หรือแตะหรือเคาะโต๊ะเรียนของพวกเขา ดังนั้นเด็กๆ จะนั่งและหมุนมันในระหว่างการเรียนแทน คุณนิคเน้นไปที่การโฆษณาโดยใช้มุมนี้และได้รับออเดอร์สั่งซื้อจำนวนมาก
นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่ายังมีตัวแทนการขายและร้านค้าอีคอมเมิร์ซอื่นๆ ที่ขายตัวสปินเนอร์พวกนี้ แต่เขาก็ยังเป็นคนแรกที่สร้าง Fidgetly แบรนด์ของเล่นที่มีชื่อเสียง นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาได้เปรียบคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดมองว่า ฟิดเจ็ทสปินเนอร์ของแบรนด์ Fidgetly นี้มีคุณค่าและอินเทรนด์มาก
ความฮิตของเจ้าฟิดเจ็ทสปินเนอร์นี้ไม่ได้เกิดมาจากคุณนิคคนเดียว ยังมีคุณเจคที่เป็นพาร์ทเนอร์ของเขา คุณเจคได้ลองขายโฮเวอร์บอร์ดในร้านค้าอีคอมเมิร์ซ แต่สุดท้ายก็ต้องขาดทุนไปถึง $30,000 ซึ่งโฮเวอร์บอร์ดมีน้ำหนักมากเกินไปที่จะจัดส่ง และพวกมันอาจจะร้อนขึ้นและติดไฟได้ เหตุนี้จึงทำให้ธุรกิจโฮเวอร์บอร์ดของเขาเจ๊ง
ความแตกต่างกันหลายแบรนด์ของฟิดเจ็ทสปินเนอร์นี้ และพวกมันก็ประสบความสำเร็จทันทีตั้งแต่เริ่มผลิตออกมา พวกมันทำการตลาดได้ง่ายและจัดส่งได้ง่ายเพราะมีขนาดเล็กและสามารถใส่ซองก็ได้และกระเป๋าก็ได้ ซึ่งต่างจากขนาดของโฮเวอร์บอร์ด
"ทันทีที่ Fidgetly ได้ทำโฆษณาบน Facebook เราจึงเริ่มเห็นการคอนเวอร์ชั่นต่อการใช้จ่ายโฆษณาต่อ $2 ผมได้โทรหาเจคแล้วผมก็บอกว่า "นายต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริง" ตอนนั้นเรากำลังดูด้านตัวเลขราคา เช่น การซื้อ $25 ในค่าคอนเวอร์ชั่น $2 ทั้งหมดที่เราทำหลักๆ ก็มีโฆษณา 3 ตัว โดยเรามีมุมหนึ่งที่คุยกับคุณครูที่เคยซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก เรายังมีคนที่มีชื่อเสียงอยู่คนหนึ่งในตอนนั้น เขาเป็นนักกล้ามที่มีคนติดตามจำนวนมาก คุณนิคอธิบายไว้
การล่มสลายของแบรนด์ Fidgetly
หลังจากเทรนด์ของเล่นฟิดเจ็ทสปินเนอร์ได้ตายลง คุณนิคมั่นใจว่าเขาเก่งในด้านการตลาดมากกว่าการจัดการกับสินค้า ดังนั้นเขาจึงทำงานร่วมกับนักการตลาดฝีมือดีคนอื่นๆ เช่น คุณทิม เบิร์ด และในที่สุดเขาก็ก่อตั้งบริษัทการตลาดของเขาเองที่เรียกว่า Structured Social
ที่ Structured Social เขาร่วมมือกับแบรนด์ที่ขายสินค้าหลายอย่างที่ได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์ เขามีแบรนด์มากมายที่จะเอาไปโปรโมตในร้านค้าอีคอมเมิร์ซของพวกเขา ควบคู่ไปกับร้านค้าของเขาเองที่มีรายได้หลายล้านต่อเดือน
คุณนิคบอกว่า "ผมก็เคยขายขนตาปลอมแบบแม่เหล็กนะ — ผมก็เคยขายสินค้ามาหลายชิ้นแล้วไม่ว่าจะเป็นขนตาปลอมแบบแม่เหล็กได้หลายล้านคู่ อีกทั้งยังมีหลอดจำลองเปลวไฟ แปรงแต่งขนสุนัข กระจกส่องหน้า น้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า ตัวฟอกสีฟัน ชาร์โคลมาส์กหน้า และอื่นๆ อีกมากมาย สินค้าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะในช่วงที่คุณยังไม่มีอารมณ์ลงทุนซื้อสินค้า คุณแค่เป็นตัวแทนการขายสินค้าก็ได้และทำเงินได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย"
เหตุผลที่คุณนิคเริ่มสร้างบริษัท Structured Social เพราะเขาอยากเลิกเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า และมุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าที่มีแบรนด์แบบจริงๆจังๆ สำหรับเขาแล้ว สิ่งนี้ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการทำธุรกิจที่ยั่งยืนโดยทำซ้ำๆ เรื่อยๆ ได้ กับธุรกิจที่ทำเงินได้อย่างรวดเร็วและก็หยุดพัก
การสร้างบริษัท Structured Social
คุณนิคสร้าง Structured Social หลังจากที่ตระหนักขึ้นได้ว่าพวกเรานั้นสามารถทำการตลาดและนำทีมได้ ปัจจุบันทีมงานของเขามีมากกว่า 50 คนและมีรายได้เกือบ $16,000,000 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว
โดยทาง Structured Social จะรันโฆษณาให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ที่ขายและจัดส่งสินค้าของตัวเองในระดับสากล
บทเรียนหลังจากใช้เงินไปมากกว่า $100,000,000 บนโฆษณา Facebook
คุณนิคบอกว่าบทเรียนที่ดีที่สุดที่เขาได้รับคือความเชื่อมั่นเท่านั้น ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสามารถและความเชื่อมั่นที่จะยอมรับและใช้งบประมาณในจำนวนมากๆ มันช่วยให้เขารู้เป้าหมายของแคมเปญว่าอยู่ตรงไหน เข้าใจถึงตัวเลขของเขาและตำแหน่งโฆษณาทั้งหมด
อย่างไรก็ตามการก่อตั้งองค์กรนี้มาจากการวางแผนการและกระบวนการที่ดี การวางแผนที่เหมาะสมก่อนที่จะเผยแพร่แคมเปญทั้งหมด แม้แต่ก่อนที่จะสร้างคอนเทนต์สำหรับโฆษณาและการคัดลอก
นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญเลยเพราะเมื่อคุณมั่นใจที่จะยอมเสียเงิน โดยถ้าหากคุณทำตามแผนที่วางไว้ บอกว่าคุณควรไปทางไหนบ้าง และควรแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เป็นเชิงบวกได้
ถ้าสำหรับเขาแล้ว การทำแคมเปญก็เหมือนกับมีถังน้ำที่กำลังรั่ว เมื่อคุณเริ่มเทน้ำลงในถังรั่วโดยไม่รู้ว่ารูรั่วอยู่ที่ไหนคุณจะสูญเสียน้ำเสียเปล่า จนกว่าคุณจะพบบริเวณที่เกิดการรั่วไหลอยู่ เช่นเดียวกับแคมเปญที่คุณต้องวางแผนและมีวิธีในการติดตามเพื่อระบุรูรั่วนั้นๆได้ หากว่ามีบางอย่างไม่ทำงานหรือไม่ทำงานเลย คุณต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องจ่ายเพิ่มสองเท่าและเมื่อไหร่ที่จะติดตามผล
สรุป
คุณนิค แชคเคิลฟอร์ดถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นในด้านอุตสาหกรรมการตลาดออนไลน์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ เขาเป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดงาน Geek Out Events และเขายังได้เป็นวิทยากรในหลายๆ งาน เช่น Affiliate World ที่เขาได้แบ่งปันเทคนิคการตลาดบน Facebook ของเขาที่เขาได้ค้นพบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
มีแนวคิดที่ไม่ซ้ำซาก 2-3 แนวคิดที่เขาได้แบ่งปันก็คือ ข้อความโฆษณาที่ติดหูจะมีความสำคัญมากกว่างานออกแบบ และภายใน 5 วินาทีแรกของโฆษณาวิดีโอจะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพื่อได้รับผลลัพธ์ดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโฆษณาที่มียอดการเข้าชมจากคนหน้าใหม่ๆ และต้องโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาดูให้จงได้
หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมจากคุณนิค แชคเคิลฟอร์ด คุณสามารถติดตามเขาได้ที่ช่อง Youtube และหน้าโซเชียลต่างๆ ของเขาในชื่อผู้ใช้ Nick Shackelford หรือ @iamnickshackelford