ครั้งนี้เราจะมาแชร์กรณีศึกษาของคุณอิสมาเอล มูฮับ (Ismael Mouhab) ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซและผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาบน Facebook ที่สเกลยอดขายของแบรนด์เสื้อผ้าออนไลน์ให้กลายเป็น $2,100,000 ในไตรมาสแรกของปี 2022
คุณอิสมาเอลแชร์ให้เราทราบถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการสเกลบัญชีโฆษณา และการรักษาระดับ ROAS ให้สูงกว่า 3.0 นอกจากนี้เขายังแชร์วิธีตั้งค่าโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล, ข้อเสนอของผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้น, กฎ Stop Loss หรือการเปิดใช้งานโฆษณาใหม่อีกครั้ง และวิธีรวมสเกลโฆษณาเข้าด้วยกัน
หมายเหตุ: ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาของกรณีศึกษา อิสมาเอลอธิบายว่าในภาพนี่มียอดขายที่เกือบแตะถึง $1,900,000 ตามข้อมูลของ Hyros ซึ่งถูกนับผ่านการคลิกผ่านเข้ามา และไม่ได้นับยอดขายที่มาจากการดูผ่าน หากนำมารวมกันก็จะได้ประมาณ $2,100,000
งานวิจัยของ Facebook กล่าวว่า:
นี้หมายความว่าการมีโฆษณาที่ดีกว่าย่อมได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพาโฆษณาที่มีประสิทธิภาพนั้นเกิดให้เกิดผลที่ดีกว่าการพึ่งพาข้อมูลของผู้ชม
ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องเริ่มสร้างโฆษณาให้เยอะมากขึ้นดีมากขึ้นโดยระวังไม่ให้ตัวเองถังแตก ทว่าอิสมาเอลและทีมได้ค้นพบถึงกลยุทธ์ประหยัดต้นทุนในการสร้างโฆษณาจำนวนมาก พวกเขาเรียกกลยุทธ์นี้ว่า “โฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
โฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบ Data-Driven
จากข้อมูลของอิสมาเอล การสร้างโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมีอยู่ 3 ขั้นตอน:
1. การวางแผน
การวางแผน คือ การเข้าใจว่าคุณไม่ได้มาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ แต่มาเพื่อขายปัญหาที่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์และความรู้สึกที่ผู้ซื้อจะได้รับ
ตัวอย่าง:
โฆษณาของคุณควรสามารถตอบคำถามที่ว่า “ทำไมฉันถึงต้องสนใจ? สิ่งนี้จะช่วยฉันได้อย่างไร?” ของตลาดได้
วิธีที่ดีมากสำหรับการทำความเข้าใจ หรือมีมุมมองของวิธีการให้ค่ากับสิ่งต่าง ๆ ของผู้คน คือ การอ่านทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ (Maslow's Hierarchy of Needs) ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในพฤติกรรมของมนุษย์
รายละเอียดของความต้องการของมนุษย์และคุณค่าของความสำคัญ การทำความเข้าใจทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ จะช่วยให้คุณสามารถพลิกสคริปต์สำหรับผลิตภัณฑ์ จากที่ “อยากมี” ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ “จำเป็นต้องมี” ได้
อีกวิธีของการทำความเข้าใจความต้องการของคนเรา คือ การอ่าน 10 แรงจูงใจทางอารณณ์ (วิจัยโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)
หลังผ่านการวิเคราะห์แรงจูงใจทางอารมณ์ 300 อย่าง ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ นักวิจัยได้ทำการระบุแรงจูงใจ “ที่มีผลกระทบสูงมากที่สุด” เป็น 10 อันดับแรก ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับฮุค (Hook)ของโฆษณาอย่างของใช้ประจำวันที่ดูธรรมดาและเรียบง่าย ก็ช่วยให้สามารถขายจนหมดได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นในขั้นตอนการวางแผนนี้ งานของคุณคือ:
2. การผลิตโฆษณา
ก่อนที่จะเขียนสคริปต์โฆษณา อิสมาอิลกล่าวถึงการแจกแจงประเด็นสำคัญหลัก ๆ ซึ่งได้แก่:
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราจึงขอต้องยกตัวอย่าง:
ตัวอย่าง: คุณกำลังขายโปรตีนเชค
แรงจูงใจ: อยากสร้างกล้ามเนื้อเพื่อให้รู้สึกมั่นใจและมีเสน่ห์
คุณประโยชน์: โปรตีนเชคที่ทำได้ง่าย ๆ และช่วยเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อเติบโตเร็วยิ่งขึ้น
ฮุค: อกไก่และเนื้อไม่ติดมันที่ใช้เงินมากเกินไป
มุมที่ 1: ประหยัดเงิน!
อิสมาเอลกล่าวว่าฮุคและมุมมองนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกับตัวสร้างแรงจูงใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณต้องสร้างมุมมองที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 มุมมอง และทดสอบกันไปจนกว่าคุณจะพบฮุคที่เป็นผู้ชนะ
ลักษณะนี้คือการผลักดันผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก Facebook โดยการขายคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์แทน
โฆษณาที่มีประสิทธิภาพที่สุด
3. การเพิ่มประสิทธิภาพ
การเพิ่มประสิทธิภาพ คือ วงจรต่อเนื่องของการวางแผน, ทดสอบ และ เพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสม
ข้อเสนอ
ข้อเสนอนั้นจะเป็นอะไรก็ได้เพื่อให้มีผู้ซื้อ ซึ่งอิสมาเอลกล่าวว่าเขาใช้ข้อเสนอแบบนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าเฉลี่ยต่อออเดอร์เท่านั้น
ตัวอย่างของข้อเสนอ:
อย่ากลัวที่จะลองทดสอบข้อเสนอใหม่ ๆ หากข้อเสนอนั้นเหมาะกับตลาดและทำให้คุณได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
ตัวชี้วัดของข้อเสนอควรมองหา: (ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ราคา $35 )
กฎ Stop Loss/การเปิดใช้งานโฆษณาอีกครั้ง
เมื่อไม่นานมานี้ช่วงกลางเดือนเมษายน มีการอัปเดตจาก Facebook และ Media Buyer ส่วนใหญ่มองว่าประสิทธิภาพโฆษณานั้นลดลง วิธีแก้ไขสำหรับการอัปเดตนี้คือคุณต้องรีเฟรชโฆษณา หรือรอไปก่อนเผื่ออะไรจะดีขึ้น
หากคุณตัดสินใจเลือกทำอย่างหลังแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ดีขึ้น ให้ลองลดงบประมาณและใช้แคมเปญกว้าง ๆ เพื่อดูว่าสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยย้ายไปปรับสเกลของแคมเปญใหม่อีกครั้ง
อิสมาเอลและทีมคิดค้นกฏนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลา ซึ่งผลที่ได้ถือว่าดีเกินคาด
กฎ Stop Loss
หน้าที่ของกฎนี้คือ การหยุดโฆษณาที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ หากโฆษณานั้น:
(ทั้งหมดอ้างอิงตามวันที่เขียน)
กฎการเปิดใช้งานอีกครั้ง
หน้าที่ของกฎนี้คือ การนำโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีแต่ไม่แสดงให้เห็นเนื่องจากความล่าช้า ให้กลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง
เปิดโฆษณาหากการมองเห็นโฆษณาในช่วง 4 วัน > 0 และยอดขายในช่วง 4 วัน > 0 และ CPA ในช่วง 4 วัน < CPA เป้าหมาย
(ทั้งหมดอ้างอิงตามวันที่เขียน)
กลยุทธ์การปรับสเกลแบบผสม
ทีมของอิสมาเอลได้คิดค้นกลยุทธ์การปรับสเกลแบบผสม ซึ่งหากอ้างอิงตามความเห็นของเขาแล้ว นี่คือแหล่งรวบรวมกลยุทธ์การทำสเกลทั้งหมด
กลยุทธ์นี้ใช้ได้เฉพาะกับ:
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากนี้ นี่คือวิธีที่เขาวางเอาไว้
การทำสเกลเพื่อสร้างการรับรู้: 3 การจัดงบแคมเปญอัตโนมัติ (CBO)
1. แบบตามความสนใจ: $2,500/วัน
ชุดโฆษณา #1 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #1 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #2 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #2 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #3 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #3 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #4 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #4 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #5 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #5 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #6 → ความสำเร็จรวมความสนใจ #6 → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน
คุณควรรวม 2 ถึง 3 ความสนใจต่อชุดโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเพื่อลด CPM
2. แบบวงกว้าง: $2,500/วัน
ชุดโฆษณา #1 → แบบวงกว้าง → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วันชุดโฆษณา #2 → การซื้อซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน (1% 3% 5%) → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #3 → การเพิ่มลงตะกร้าซ้อนทับกับซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน (1% 3% 5%) → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน ชุดโฆษณา #4 → การเข้าชมเพจซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน (1% 3% 5%) → โฆษณา 10 ตัว (สำเร็จ 5 + ทั่วไป 5) → ยอดเข้าชม 1 วัน
ชุดโฆษณาแบบกว้างมักเป็นชุดโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเหมือนเทียบกับแคมเปญอื่น และใช้งบมากที่สุดด้วยเช่นกัน รองลงมา 99% จะเป็นการซื้อที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน และเปิดชุดโฆษณาทั้งหมดไว้เพื่อให้อัลกอริทึมมีอิสระมากขึ้น
3. แบบตัวบ่มเพาะ: $500/วัน
ชุดโฆษณา #1 → ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน #1 → โฆษณา 5 ตัว → ยอดเข้าชม 1 วัน
ชุดโฆษณา #2 → ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน #2 → โฆษณา 5 ตัว → ยอดเข้าชม 1 วัน
ชุดโฆษณา #3 → ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน #3 → โฆษณา 5 ตัว → ยอดเข้าชม 1 วัน
ชุดโฆษณา #15+ → ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน #4 → โฆษณา 5 ตัว → ยอดเข้าชม 1 วัน
หากคุณค้นพบชุดโฆษณา/โฆษณาที่ประสบความสำเร็จ ห้ามปิดโฆษณานั้นโดยเด็ดขาดแม้ว่าจะนำมาทำซ้ำในแคมแปญ CBO แล้วก็ตาม
แคมเปญแบบ MOF/BOF ABO:
ชุดโฆษณา #1 → การเข้าชมเว็บไซต์ 1-14 วัน → ลดเพิ่ม 10% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #2 → การเข้าชมเว็บไซต์15-30 วัน → ลดเพิ่ม 10% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #3 → การเข้าชมเว็บไซต์ 30-60 วัน → ลดเพิ่ม 10% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #4 → การเข้าชมเว็บไซต์ 60-180 วัน → ลดเพิ่ม 10% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #5 → การมีส่วนร่วมในโพสต์ FB & IG 1-30 วัน → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #6 → การมีส่วนร่วมในโพสต์ FB & IG 30-60 วัน → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #7 → การมีส่วนร่วมในโพสต์ FB & IG 60-360 วัน → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #8 → ยอดเข้าชมวิดีโอ 95% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #9 → ยอดเข้าชมวิดีโอ 75% → $75-100/วัน
ชุดโฆษณา #10 → ยอดเข้าชมวิดีโอในช่วง 3 วินาที→ $75-100/วัน
เคล็ดลับ: ควรแยกกลุ่มผู้ชมเพื่อไม่ให้ข้อมูลทับซ้อนกัน
แคมเปญกำหนดเป้าหมายแบบ DPA Pixel:
ชุดโฆษณา #1 → ตามความสนใจ → ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล/ขายดี → $100/วันชุดโฆษณา #2 → แบบวงกว้าง → ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล/ขายดี → $100/วัน
ชุดโฆษณา #3 → ยอดเข้าชมเพจ 180 วัน → ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล/ขายดี → $100/วัน
ชุดโฆษณา #4 → การมีส่วนร่วมในโพสต์ FB & IG PE 360 วัน → ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล/ขายดี → $100/วัน
สรุป
การพึ่งพากลยุทธ์การทำสเกลแบบผสมนั้น ช่วยทำให้อิสมาเอลสามารถสเกลบัญชีโฆษณาและสร้างยอดขายได้ $2,100,000 ภายใน 3 เดือนของไตรมาสแรก ขณะที่รักษา ROAS ไว้อย่างดีที่ 3.0
อิสมาเอลใช้ RevealBot เพื่อสร้างกฎแคมเปญ และใช้ Hyros เพื่อติดตามแคมเปญของเขา