02 กันยายน 2022 0 178

สร้างยอดขายกว่า $83,000 ภายใน 1 เดือน ในการเปิดร้านค้า Shopify ใหม่โดยใช้ Facebook Ads

ในวันนี้ เราจะมาแบ่งประสบการณ์กรณีศึกษาจากคุณลูคีช ยาดาฟ ซึ่งเขาคือผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สามารถสร้างยอดขายได้ $83,000 ภายในเดือนเดียวด้วยการเปิดร้านค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ใช่เป็นเพียงความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากกระบวนการที่ต้องใช้เวลามากพอสมควรในการพัฒนาตัวเอง

ลองมาอ่านดูพร้อมกับทำความเข้าใจกระบวนการดำเนินการของเขาและขั้นตอนที่ใช้ในการเลือกโปรดัก การสร้างร้านค้า การตลาด และการขยายขนาดแคมเปญให้ได้ไปถึง $82,520 ได้ใน 30 วัน

คุณลูคีช ได้กล่าวว่า "มีอยู่ 3 สิ่งที่จะสร้างความสำเร็จกับโปรดักใดๆก็ตามที่คุณได้เปิดตัวขายเหมือนกับทำ Drop Shipping มันพูดง่ายแต่ทำได้ยากกว่ามาก การจัด 3 สิ่งนี้ให้ไปด้วยกันตามสูตรได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการขยายแคมเปญให้กลายเป็นตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อที่คุณอาจเห็นได้ทั่วไปในระบบอินเทอร์เน็ต"

สูตร:

Right Product + Right Audience + Right Offer x Right Scale = BANK

ตอนนี้เราได้เห็นสูตรของคุณลูคิชกันแล้ว เราจะมาวิเคราะห์กันว่าเขาใช้สูตรนี้เพื่อสร้างยอดขายให้กับร้านค้า Shopify ใหม่ของเขานั้นได้อย่างไร

Right Product (สินค้าที่เหมาะสม)

โปรดักที่คุณลูคิชเลือกนั้นไม่ได้รับความนิยมมากนักในตลาด Aliexpress โดยเขาค้นพบว่าในขณะที่เขาเลื่อนดูฟีด Facebook จากนั้นเขาก็ค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรดักนี้มาเรื่อยๆ และยังพบอีกว่ามีไวรัลใน Tiktok ซึ่งสิ่งนี้แหละทำให้เขาได้ลงมือสำหรับการทดสอบโปรดักอย่างที่เคยวางแผนไว้

Right Audience (ผู้ชมที่เหมาะสม)

เมื่อพูดถึงการเลือกกลุ่มผู้ชม คุณลูคิชไม่ได้ตั้งสมมติฐานด้านข้อมูลประชากรไว้เลย เขาชอบคาดการณ์ผ่านตัวเลขและฐานข้อมูลอื่นมากกว่า

คุณลูคิชมักจะเริ่มต้นด้วยการเน้นไปที่ฐานผู้ชมที่กว้างที่สุดเสมอ หนึ่งสิ่งที่สำคัญจริงๆ เขาจะพิจารณาให้มันสอดคล้องกันกับกลุ่มช่องทางเฉพาะของโปรดักนั้นๆ ขนาดจำนวนของผู้ชมเบื้องต้นมักจะมีระหว่าง 2,000,000 ถึง 3,000,000 ผู้ใช้งาน ในการเริ่มต้นด้วยผู้ชมในวงกว้างนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากกับเขา เพราะมันทำให้เขาสามารถขยายแคมเปญได้อย่างรวดเร็วถึง $10,000 กว่าๆ/วัน

นอกจากนี้ เขายังชอบที่จะศึกษากับ 1 กลุ่มผู้ใช้/ชุดโฆษณาเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามหากผู้ชมมีน้อย เขาจัดกลุ่มเข้าไว้ด้วยกัน

Right Offer (ข้อเสนอที่ใช่)

คุณลูคีชถือว่าข้อเสนอเป็นส่วนสำคัญ ในขณะที่ต้องแบ่งแยกแคมเปญที่เป็นผู้ชนะกับแคมเปญที่เป็นผู้แพ้

เขากล่าวว่า "คุณสามารถมี 2 แคมเปญที่ผมทำการเผยแพร่ต่างกันได้ แม้ว่าแคมเปญพวกนี้มันจะเป็นโปรดักชนิดเดียวกันและการกำหนดเป้าหมายที่เหมือนกันด้วย ซึ่งข้อเสนอจะทำให้เกิดการคอนเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันได้ หากคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าการจัดส่งฟรีๆ นั้นดีที่สุดที่จะให้ผมบอกคุณชัดๆเลยว่า ไม่จริงหน่า"

ตามที่คุณลูคีชบอก สิ่งแรกที่ผู้คนเลือกมอง นั่นก็คือราคา เพราะยิ่งราคาต่ำผู้คนก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะทำตามขั้นตอนนี้ "กดเพิ่มในรถเข็น" มากขึ้นเท่านั้น เมื่อสังเกตเห็นว่าสามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า พวกเขาจะไม่คิดถึงค่าจัดส่งเลย แม้ว่าคุณจะเพิ่มค่าจัดส่งก็ตาม สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคอนเวอร์ชั่นได้ดีกว่าเมื่อได้ตั้งราคาสูงกว่า และค่าจัดส่งฟรี ถึงแม้พวกเขาได้ละทิ้งรถเข็นไปก่อนที่จะชำระเงิน ซึ่งในระบบลำดับการกำหนดเป้าหมายใหม่ก็ยังสามารถจับพวกเขาได้อยู่ดี

ตัวอย่างข้อเสนอ:

  • $19.99 + จัดส่งฟรี
  • $16.99 + ค่าจัดส่ง $2.99
  • $15.99 + ค่าจัดส่ง $4.99

ตอนแรกเขาก็ตั้งราคาที่ต่ำมากสำหรับโปรดักนี้ เขาได้รับคอนเวอร์ชั่นมามากมายซึ่งช่วยสร้างข้อมูลใน Facebook pixel ของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้พบผู้ซื้อที่ตรงเป้าหมายมากขึ้นอย่างรวดเร็วไปด้วย เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่ได้รับมา

ในเบื้องต้น เป็นข้อเสนอการจัดส่งฟรี แต่คุณลูคิชได้ทดสอบโดยเพิ่มค่าจัดส่งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้กระทบต่อการคอนเวอร์ชั่นเลย

กลยุทธ์การกำหนดราคาใหม่นี้ สามารถรักษาเสถียรภาพได้เป็นเวลานานโดยไม่ทำให้การมีส่วนร่วมหรือการซื้อช้าลงแต่อย่างใด ในจุดนี้คุณลูคีชลองเพิ่มราคาโปรดักพื้นฐานขึ้นและยังคงหวังผลลัพธ์ได้เหมือนๆกับเมื่อก่อน

Right Scale (ขยายอย่างเหมาะสม)

ในการทำความเข้าใจกลยุทธ์การขยายขนาดแคมเปญของเขา เราต้องพิจารณาถึงวิธีที่เขาตั้งค่าทุกอย่างตั้งแต่ตอนแรก สำหรับโปรเจคนี้ คุณลูคีชเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายผู้ชมที่กว้างมาก เขาใช้ประเภทแคมเปญเป็นการคอนเวอร์ชั่นเว็บไซต์โดยมีวัตถุประสงค์ในการซื้อและโฆษณาวิดีโอ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการให้ Facebook หาคนที่ต้องการซื้อจริงๆมาให้เขา

คุณลูคีชยังแยกสหรัฐอเมริกาออกจาก World Wide GEOs อีกด้วย ในการสร้างชุดโฆษณาต่างๆ เนื่องจาก ค่า CPM ในสหรัฐอเมริกามีราคาที่สูงอยู่เสมอ นอกจากนี้ เขายังไม่รวมประเทศที่มีการจราจรติดขัด เช่น อินเดีย ปากีสถาน เปรู อินโดนีเซีย เป็นต้น

ชุดโฆษณาทดสอบของเขามีลักษณะดังนี้:

  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 1) — สหรัฐอเมริกา
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 1) — ทั่วโลก
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 2) — สหรัฐอเมริกา
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 2) — ทั่วโลก
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 3) — สหรัฐอเมริกา
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 3) — ทั่วโลก
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 4) — สหรัฐอเมริกา
  • 25-65 — (กลุ่มเป้าหมาย 4) — ทั่วโลก

เขาทดสอบโฆษณา 2 ชิ้นต่อชุดโฆษณา หลังจากผ่านไป 48 ชั่วโมง เขาพบว่าชุดโฆษณาและครีเอทีฟโฆษณาทำงานได้ดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงหยุดทำอันที่ไม่ดีและทำให้ผู้ชนะอยู่ในชุดโฆษณาทั้งหมด

หลังจากผ่านไป 2-3 วัน ค่า CPC อยู่ที่ $5 และ ผล ROAS 3-5 ในชุดโฆษณาส่วนใหญ่ นี่เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าแคมเปญนี้เป็นผู้ชนะ และถึงเวลาที่จะผลักดันให้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และดูว่าแคมเปญจะตอบสนองอย่างไร จากนั้นคุณลูคีช ก็เพิ่มงบประมาณโดยเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อดูว่ามันตอบสนองอย่างไรอีกบ้าง

หลังจากผ่านไป 2-3 วัน ผล ROAS และการซื้อยังคงดีอยู่ เขารู้ว่านั่นเป็นแคมเปญผู้ชนะเหรียญทองอยู่แล้ว แผนของเขาคือการขยายแคมเปญให้เร็วที่สุดก่อนที่จะโดนคนอื่นลอกและขโมยแคมเปญไป

การขยายแคมเปญ

เขาคัดลอกชุดโฆษณาที่ชนะไปยังชุดโฆษณาที่มีราคาเสนอสูงสุด แต่ละชุดมีงบประมาณ $1,000 เขาตั้งค่าราคาเสนอสูงสุดที่ 3x ของจำนวนชุดโฆษณาที่เสนอราคาอัตโนมัติของเขาในค่า CPC ในส่วนค่า CPC นี้ของการเสนอราคาอัตโนมัติอยู่ที่ $5 ดังนั้นชุดโฆษณาที่เสนอราคาสูงสุดของเขาก็คือ $15 เขาทำให้ชุดโฆษณาที่เสนอราคาอัตโนมัติสามารถทำงานได้ด้วย

ขั้นตอนต่อไปคือการเพิ่มความสนใจเพื่อทดสอบและขยายแคมเปญด้วยกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน

เมื่อการขยายด้วยผู้ชมที่คล้ายคลึงกัน คุณลูคีชทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • เขาทดสอบในสหรัฐอเมริกาและเขตเศรษฐกิจในยุโรปก่อน
  • เขาเลือกทุกคนที่ดูจำนวน 95% ของโฆษณาวิดีโอและเนื้อหาที่ดู
  • เขาแบ่งเปอร์เซ็นต์จาก 1,1-2, 2-3 ได้มากถึง 10%
  • เขาทดสอบทั้งหมดนี้ด้วยการเสนอราคาอัตโนมัติเพื่อดูว่าพวกเขาทำงานเป็นอย่างไร และนำผู้ชนะไปยังชุดโฆษณาที่เสนอราคาสูงสุดสูงสุดด้วยงบประมาณ $1,000 สำหรับโฆษณาแต่ละชุด

ในกรณีของการถูกล้างข้อมูลและทำซ้ำๆขั้นตอนนี้ด้วยพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชมที่ดังนี้ กดเพิ่มเข้ารถเข็น, การเริ่มขั้นตอนการชำระเงิน และ การจ่ายเงิน เขาจะไม่ไปต่อกับผู้แพ้นี้และคอยรักษาผู้ชนะเอาไว้

เพื่อขยายขนาดแคมเปญต่อไปอีก เขาได้ศึกษาแยกย่อยจากทั้งประเทศ อายุ เพศ และตำแหน่ง ที่มีผลงานดีที่สุด นอกจากนี้ เขายังสร้างชุดโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายทั่วไปที่กำหนดเป้าหมายคนทั้งโลกบน FB ซึ่งให้ระบบพิกเซลช่วยเลือกผู้ซื้อด้วยตัวของมันเอง สิ่งนี้ควรทดสอบไปด้วยหลังจากใช้เงินไป $5,000 นั่นเป็นเวลาที่มันจะทำงานได้ดี หากไม่เป็นเช่นนั้น ลองใช้หลังจากใช้จ่ายไปแล้ว $10,000 หรือ $15,000 ดูสิ

ยิ่งทำแคมเปญดำเนินต่อไปเรื่อยๆนานเท่าไร ผล ROAS ก็ยิ่งต่ำลงเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการขยายแคมเปญให้มันรวดเร็วและรับผลกำไรในขณะที่ค่ามาร์จิ้นสูง

การกำหนดเป้าหมายใหม่

แคมเปญการกำหนดเป้าหมายใหม่เป็นแคมเปญที่ทำให้เขาได้รับ ผล ROAS สูงสุด นี่คือแคมเปญที่คุณลูคีช ตั้งค่าไว้ว่า:

  • ทุกคนที่สามารถดูเนื้อหา แต่ไม่ได้เพิ่มลงในรถเข็นก็ได้
  • ทุกคนที่หยิบใส่ตะกร้า แต่ไม่ได้ซื้อ
  • ทุกคนที่เริ่มชำระเงิน แต่ไม่ได้ซื้อ
  • ทุกคนที่ซื้อ
  • ทุกคนที่ดูโฆษณา 95% ของวิดีโอ

เขากำหนดเป้าหมายผู้ชมเหล่านี้ด้วยข้อเสนอสุดระห่ำ เพื่อดึงดูดผู้ซื้อ ข้อเสนอที่เขาโปรดปรานคือ:

  • สต็อคใกล้หมด
  • ส่วนลด 5%;
  • ส่วนลด 10%;
  • ค่าจัดส่งฟรี

สรุป

พวกเราเชื่อว่ากรณีศึกษานี้เป็นแนวทางที่ชัดเจนสำหรับทุกคนที่ต้องการเริ่มทดลองทำโฆษณาบน Facebook สำหรับการเปิดร้านค้าใหม่หรือแบรนด์อีคอมเมิร์ซ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่กลยุทธ์นี้ต้องเจอคือ การลดน้อยลงของ ผล ROAS และ CPA ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปเมื่อใดก็ตามที่นักการตลาดพยายามจะขยายแคมเปญอย่างรวดเร็วด้วย Facebook Ads

เรายังมีบทความบอกวิธีควบคุม CPA ของคุณในขณะที่ขยายแคมเปญเพื่อให้มี ผล ROAS คงที่ไว้เป็นเวลานาน อย่าลืมอ่านนะครับ

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?