17 ตุลาคม 2022 0 144

สร้างรายได้ $90,000 /เดือนจากการทำธุรกิจให้บริการด้านซอฟต์แวร์ (SaaS)

เรากำลังนำคุณมาศึกษากรณีของ จอร์แดน เวลซ์ เป็นผู้ประกอบการด้านอี-คอมเมอร์ช ที่ได้ตัดสินใจนำเงินกำไรที่ได้มา ไปเริ่มต้นลงทุนเปิดบริษัทการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ เมื่อปี 2018 และเขาสามารถขยายธุรกิจของ SaaS จนมีรายได้ $100,000 ในแต่ละเดือน ทำให้ตัวเขามีรายได้ประจำต่อเดือนถึง $50,000 แต่เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นงานที่ยากที่สุดที่เคยทำมา และเคยเกือบทำให้เขาต้องล้มละลายอยู่หลายครั้ง

ในบทความนี้ เราจะมาแบ่งปันสูตรสำเร็จ 4 ข้อ ที่เป็นบันไดให้เขาไต่ขึ้นสู่ความสำเร็จ จากประสบการณ์ของเขาเริ่มจากการสร้างธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์โดยที่เขาไม่ได้เขียนโค้ดอะไรเลยสักตัวเดียว เขาต้องต่อสู้อย่างหนัก เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจที่กำลังขาดทุนให้กลายมาเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าทางตลาดประมาณ $3,000,000

ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์
 

ในปี 2019 จอร์แดนได้สร้างซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Viral Vault  มันเป็นเครื่องมือที่ใช้จบในขั้นตอนเดียวสำหรับคนที่อยากจะเปิดร้านค้าออนไลน์

ในซอฟต์แวร์ประกอบไปด้วย แนวคิดการหาผลิตภัณฑ์ เครื่องมือทางการตลาด การอบรม และก็ยังมีชุมชมออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการตลาดอี-คอมเมอร์ชอีกด้วย

ในขณะที่จอร์แดนสร้างซอฟต์แวร์อยู่นั้น เขาก็ดำเนินการตามสูตรที่เขาวางใว้ 4 ขั้นตอนคือ:

  1. การค้นคว้าวิจัย 
  2. การสร้าง MVP (ขั้นตอนการทดสอบ) 
  3. การสร้างซอฟต์แวร์ 
  4. ระยะการปรับขนาดธุรกิจ

มีอีกมากมายหลายส่วนอยู่ภายใต้ขั้นตอนนี้ แต่เราจจะแบ่งแยกออกตามประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง
 

ขั้นตอนที่ 1: ระยะของการค้นคว้าวิจัย
 

ในระยะการค้นคว้านี้ สิ่งแรกเลยที่จอร์แดนทำคือการมองหาปัญหา ปัญหามีเป็นร้อยเป็นพันที่ใครๆ ก็สามารถแก้ได้ แต่สำหรับจอร์แดนเลือกที่จะเริ่มต้นขั้นตอนนี้ด้วย การเลือกส่วนที่เฉพาะเจาะจง

เขาเลือกเจาะจงไปที่กลุ่มอี-คอมเมอร์ช เพราะว่าเขาเชี่ยวชาญในด้านนี้เพราะเขาเป็นเจ้าของธุรกิจร้านค้าส่งอี-คอมเมอร์ชด้วย เขาคุ้นเคยกับสังคมอี-คอมเมอร์ชหลายสาขา และเขายังสามารถมองเห็นปัญหาและความท้าทายของผู้ประกอบการอี-คอมเมอร์ชที่เจอกับปัญหานี้อยู่ และนั่นเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับเขาในการที่จะชี้จุดปัญหาเพื่อที่จะแก้ไขให้ถูกจุด

จอร์แดน กล่าวว่า "ผมมักจะสะดุดอยู่กับแนวคิดของ Viral Vault ผมก็ถามผู้คนในชุมชนว่ามีปัญหาอะไรบ้างไหม ในตอนนั้นช่่อง youtube ของผมมีคนติดตามอยู่ประมาณ 20,000 คน แต่ผมมีคนมาคอมเม้นต์ประมาณ 2-3 คน รวมถึงการส่งข้อความส่วนตัวมาหาด้วย แต่ผมก็ถามพวกเขาอย่างต่อเนื่องว่า อะไรเป็นปัญหาใหญ่ที่พวกเขาเผชิญตอนที่สร้างร้านขายของใน Shopify

หลังจากที่ถามไปเป็นร้อยๆ คน ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า คนพวกนี้มักจะมีปัญหาอยู่กับว่าจะเอาสินค้าอะไรมาขายดี และจะทำอย่างไรกับสินค้าที่เจอมาจากการใช้ซอฟต์แวร์ค้นหา ในตอนนั้นผมและผู้ร่วมหุ้นทั้งหลายก็ตัดสินใจกันสร้างเครื่องมือ all-in-one toolkits เป็นเครื่องมือที่ ครบ-จบ-ในที่เดียว เพื่อช่วยให้พวกเขาหาสินค้ากันได้ และที่สำคัญที่สุดคือสามารถที่จะทำการเริ่มขายสินค้าของเขาได้ด้วย"

แนวทางแก้ไขที่จอร์แดนตัดสินใจใส่เข้าไปทำให้เกิดความง่ายและสะดวกสำหรับผู้เริ่มต้น ไปจนถึงผู้ประกอบการระดับกลางๆ ที่จะเริ่มขายบนร้านค้าของตัวเองใน Shopify โดยที่ได้จัดหาข้อมูลที่จำเป็นใส่เข้าไปในซอพแวร์ทุกตัวเหมือนเป็นโปรแกรมสำหรับบริการ

ขั้นตอนที่ 2: การสร้าง MVP
 

MVP คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้มากที่สุด เป็แนวคิดที่ง่ายที่ ถูกที่สุด และเร็วที่สุดในการสร้างไอเดียของคุณ เป้าหมายของมันคือการตรวจสอบแนวคิดของคุณโดยที่ไม่ต้องเสียเงิยและเวลาจำนวนากไป ตามที่จอร์แดนกล่าว การข้ามขั้นตอนนี้ไปจะทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก คุณอาจจะจบลงโดยเสียเวลาเป็นเดือนๆ เป็นพันดอลล่าห์ไปกับสิ่งที่สร้างขึ้นมาแล้วไม่มีใครต้องการใช้มันจริงๆ

สิ่งที่จอร์แดนสร้างสำหรับ MVP ของเขานั้นเข้าใช้ Clickfunnels เพื่อสร้างรูปแบบธรรมดาของซอฟต์แวร์ เมื่อมองย้นกลับไปในปี 2018 มันไม่ใช่แค่ดูดีอย่างเดียวนะ มันใช้งานได้จริงด้วย มันช่วยจัดการเรื่องแนวคิดของสินค้าในแต่ละวัน แต่มันก็ยุ่งยากนิดหน่อย

"เมื่อมองกลับไป เหมือนเป็นบังคับให้เราต้องเริ่มต้นทำแต่มันก็ไม่ทำให้ผมเสียเงินในการสร้างสิ่งนี้เลยเพราะ Clickfunnes ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแอปประเภทต่างๆ แต่ผมสร้างให้มันสามารถใช้งานได้จริง และผมคิดว่านี่แหละคือเป้าหมายของการทำในช่วงนี้... การมีความคิดสร้างสรรค์ที่นอกกรอบและการค้นหาวิธีที่การทำโดยที่ไม่ทำให้เสียเงินเสียเวลามาก" จอร์แดน อธิบาย.

 

ซอฟต์แวร์รุ่นแรกที่จอร์แดนสร้างมานั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้จอร์แดนได้ทดลองในตลาดว่ามีใครสนใจที่จะซื้อมันหรือไม่ เขาใช้ช่อง youtube, กลุ่ม Facebook และบัญชี IG ของเขาเป็นตัวนำไปสู่ MVP

ตอนเปิดตัวครั้งแรก เขามีผู้เข้าร่วมมากว่า 100 คน และนั่นก็พิสูจน์ความคิดของเขาในชั่วข้ามคืน ทำให้เขามีความมั่นใจที่จะสร้างอะไรให้มันดีขึ้นไปอีก

จอร์แดน กล่าว "ผมใช้เวลาฝึกฝนมากว่า 2-3 เดือนในการทำ Clickrunnels และก็โปรโมทให้กับผู้ชมของผม เพื่อที่ผมจะสามารถรวบรวมเงินไปพัฒนาต่อยอดในรุ่นต่อไปได้ ผมสามารถรวบรวมเงินได้ประมาณ $30,000 จากรายได้ที่สร้างจากธุรกิจของผม ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก

ผมพร้อมที่จะสร้างบางสิ่งบางอย่างกับเงินที่ผมเก็บสะสมมา แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะในตอนผู้ร่วมหุ้นของผมคนนึงตัดสินใจทำลายสินค้าของเราและหนีไปพร้อมกับเงิน $30,000 ที่พวกเราสร้างกันมา

จากเหตุการณ์นั้นทำให้ผมต้องมาเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ ผมก็ยังมีความมุ่งหวังที่จะสร้างมันต่อไป ผมก็เริ่มจากรายได้ที่ผมมีจากช่อง youtube และร้านค้าบน Shopify ของผม นี่เป็นส่วนที่ท้าทายที่สุดในการเป็นผู้ประกอบการณ์ของผมจนถึงตอนนี้"

 

ขั้นตอนที่ 3: การสร้างซอฟต์แวร์
 

จากการเป็นผู้ประกอบการ มันก็มาถึงเวลาที่เราจะต้องสร้างซอฟต์แวร์ของเราให้เป็นจริงสักที มันมีทางอยู่ 2-3 ทางในการทำ คือคุณสามารถที่จะเรียนรู้การเขียนโค้ดด้วยตัวคุณเอง ซึ่งอันนี้ไม่ค่อยแนะนำ นอกเสียจากว่าคุณมีความตั้งใจทำจะเรียนมันจริงๆ หรือคุณอาจจะร่วมหุ้นกับนักพัฒนาและยอมแบ่งหุ้นบริษัทให้กับเขา แต่มีทางเลือกอื่น ที่จอร์แดนทำคือ การจ้างทีมนักพัฒนามาจัดการ

 

ทางเลือกที่จอร์แดนเลือกนั้น ราคาไม่ถูกเลยจริงๆ แต่อีกสองทางเลือกอื่นน่าจะดีกว่า ถ้าคุณมีเงินทุนหมุนเวียนน้อย แต่จอร์แดนสามารถทำให้มันเป็นจริงได้

"ผมต้องขอบคุณเพื่อนผมคนนึงเป็นอย่างมาก ที่เขาแนะนำทีมที่ยอดเยี่ยมจากรัสเซียมาให้ แล้วก็มีผู้จัดการโครงการที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ที่ๆ ผมอยู่ในตอนนั้น ผมได้รับแรงสนับสนุนและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราก็ลงมือทำมันเลย" จอร์แดน อธิบาย

จอร์แดนสร้างแบบจำลองขึ้นมา แล้วก็ส่ง photoshop ไปให้ทีมนักพัฒนา แล้วเขาก็จะทำใบเสนอราคากับงานตัวนั้น เมื่อพวกเขามีความเห็นที่ตรงกันก็เริ่มลงมือสร้างซอฟต์แวร์ทันที และสิ่งนี้ก็เริ่มสร้างความยุ่งยากให้กับจอร์แดนตั้งแต่นั้นมา

6 เดือนผ่านไป เขาใช้เงินประมาณ $10,000 ถึง $30,000 เหรียญต่อเดือน ในการสร้างซอฟต์แวร์ต่อไป โดยที่ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย หลังจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึนกับหุ้นส่วนของเขา เงินส่วนมากก็มีแต่ออกจากกระเป๋าไม่มีเข้ามาเลย เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ร้านค้าบน Shopify และช่อง Youtube ของเขาให้หันมาให้ความสนใจสิ่งนี้แบบเต็มที่ เขายอมรับเลยว่านี่เป็นงานที่ยากมากที่สุดในอาชีพของเขาเลย

ต้นเดือนกรกฏาคม 2019 ทีมของเขาก็ประกาศออกมาว่าซอฟต์แวร์นั้นสร้างเสร็จพร้อมที่จะเปิดตัวแล้ว จอแดนเปิดตัวอย่างอลังการ กับการสตรีมสดในช่อง youtube ของเขา และตื่นเต้นที่จะได้เห็นคนใหม่ๆหลั่งไหลเข้ามาชม และคิดว่ามันจะทำเงินให้มากมายถึงกับเปลี่ยนชีวิตเขาไปได้เลย แต่ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าภายใน 48 ชั่วโมง

"ผมเหลือยอดคนติดตามแค่ 30 คน และผมก็ยังติดเงินที่จะต้องจ่ายให้ทีมนักพัฒนาอีก $100,000 เหรียญ ในการดำเนินาร  ตอนนั้นผมหวาดผวา จิตตก ซึมเศร้า กดดัน แทบจะเป็นอาการทางอารมหมดทุกอย่าง ถ้าคุณนึกภาพออก แต่หลังจากทุกอย่างผ่ากนไป ผมและทีมของผมก็ก้าวผ่านสร้างมันได้สำเร็จ ผมไม่มีทางเหลือให้ยอมแพ้ ดังนั้น ผมจึงต้องค้นหาว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป" จอร์แดน กล่าว

ขั้นตอนที่ 4: ปรับขนาด เรียนรู้จากความผิดพลาดให้มาก และสุดท้ายก็แก้ไขให้เกิดเป็นกำไร
 

หลังจากที่ล้มเหลวจากการเปิดตัวครั้งนั้น จอร์แดนทำผิดพลาดอย่างอื่นอีก โดยพยายามที่จะปรับทันทีเพื่อให้มันครอบคลุมกับเงินที่สูญเสียไป เขาพยายามทุกทาง ทั้งปล่อยโฆษณาบน Facebook, โฆษณาบน Youtube เขียนบล๊อกในด้านการตลาดล้วนๆ แม้กระทั่งปรับเปลี่ยนอิเมลทางการตลาด แต่ทุกอย่างก็ยังติดลบ
 

 

ถึงขนาดที่ว่าเขาต้องจ่ายเงินเป็นพันๆ ดอลล่าห์ จ้าง coach อย่าง Alex Becker เพื่อเข้าอบรม และก็ยังมีผู้รู้อีก 2-3 คน ตลอดทั้งปี 2019 แต่ก็ไม่มีสูตรไหนใช้ได้สักอย่าง

จอร์แดน เล่าว่า "ผมต้องจ่ายเงินเป็นพันๆ ดอลล่าห์เพื่อยิงแอดโฆษณาในการอบรม และแน่นอนผมยังต้องจ่ายค่าจ้างให้ทีมงานที่เหลืออีก 6 คน ซึ่งในขณะนั้นผมไม่มีรายได้เข้ามาเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมากจริงๆ ในช่วงสิ้นปี ผมพยายามที่จะขายโปรแกรมให้คำปรึกษาด้านอีคอมเมอร์ชที่ราคาสูงในขณะที่ผมก็พ่วงขายซอฟต์แวร์ของผมตบท้ายอีกที ตอนนั้นผมบ้ามาก ผมพยายามทุกวิถีทางที่จะขายผลิตภัณฑ์ของผมให้ได้ แต่ไม่แปลกใจเลย โปรแกรมให้คำปรึกษาก็พังไม่เป็นท่าอีกเหมือนกัน

มุ่งหน้าไปที่เดือนกรกฏาคมปี 2020 เขาหมดเงินไปเยอะมากกับธุรกิจของเขา เขาต้องเสียเงินไปทุกๆ เดือน และเขาก็เอาเงินสดส่วนตัวของเขามาพยุงธุรกิจเพื่อหวังว่ามันจะดีขึ้น

จอร์แดน กล่าว " ผมจบลงด้วยการย้ายออกจาก ลอส แองเจลิส กลับไปที่บ้านที่ ฟลอริด้า ในจุดนั้น ผมเกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ผมก็ต้องขอบคุณทีมผมที่คอยให้กำลังใจตลอดมา พวกเขานี่แหละที่ทำให้ผมก้าวผ่านไปได้ และในจุดนี้นี่เอง ที่ผมมาตระหนักได้ว่า มันเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญมากๆ ที่คุณจะต้องจ่าย ถ้าคุณอยากจะเปิดตัวบริษัท SaaS มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเปิดตัว ถ้าคุณมีเงินหมุนเวียนมากพอ หรือถ้าคุณมีเงินทุนของโครงการไปใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตของคุณ ผมจะไม่แนะนำเลย ถ้าคุณอยากทำธุรกิจด้วยเงินเก็บที่คุณมี หรือเงินสดที่มีอยู่ในมือ นี่เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดขอให้ดูผมเป็นตัวอย่าง"

การแก้ปัญหา
 

ในที่สุด จอร์แดนก็เลือกเดินทางในทิศทางของตัวเองโดยกลับไปสร้าง Shopify stote ซึ่งเป็นอีคอมเมอร์ชที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 เขาทุ่มทั้งแรงกายแรงใจไปกับแบรนด์อีคอมเมอร์ชจนสามารถทำเงินกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ และสิ่งนี้ก็ทำให้เขามีความมั่นใจมากพอที่จะทำซอฟต์แวร์อีกเป็นครั้งสุดท้าย

ในเดือนธันวาคมปี 2020  ซอฟต์แวร์เงียบเหมือนตายไม่เป็นท่า และก็มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องอีก $3,000 เหรียญ กับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายอีก $10,000 เหรียญ มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง แต่ที่น่าประหลาดใจ เพราะนี่เป็นตอนที่เริ่มการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

จอร์แดนมาคิดได้ว่า เขาพยายามที่จะโปรโมทซอฟต์แวร์ของเขาทุกช่องทางต่างๆ กันไป แต่นึกไม่ถึงว่าตัวเขาเองก็มีของดีติดตัวมาตลอด นั่นก็คือช่องทาง Youtube นั่นเอง ในช่องทางนี้เขาทำให้ซอฟต์แวร์ของเขาเติบโตเท่าใดก็ได้ โดยการสร้างวิดีโอดีๆ ขึ้นมาและทำให้อี-คอมเมอร์ชมีคุณค่าที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้บน Youtube

"ผมมาคิดว่า ถ้าผมทำมันลงไป โดยธรรมชาติของผู้คนย่อมให้ความสนใจว่าผมจะเสนออะไรให้พวกเขา แม้กระทั่งเขาอาจจะกดติดตามถ้าเขาชอบ และตั้งแต่แบรนด์ Shopify ของผมได้เริ่มดำเนินการไป ผมก็มีไอเดียดีๆ ในหัวมากมาย กรณีศึกษาต่างๆ หรือแม้แต่เนื้อหาต่างๆ ผมก็สามารถทำได้ และนั่นแหละเป็นสิ่งที่ผมมาตลอด 10 เดือนให้หลัง


ผมได้โพสวิดีโอของผมในทุกๆ วัน และช่อง Youtube ของผมก็ขยายขึ้นมากจาก ผู้ติดตาม 29,000 คน มาเป็น 200,000 คนแทน สิ่งนี้ช่วยให้ซอฟต์แวร์ของผมไปต่อได้...


ผมอยากจะขอขอบคุณทุกๆ คนใครก็ตามที่สนับสนุนช่อง youtube ของผมมาตลอด เพราะมันเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของผม พวกคุณทั้งหลายได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผม ผมจะไม่สามารถมาถึงวันนี้ได้เลยถ้าไม่มีพวกค " จอร์แดนกล่าว

 

สถานการณ์ปัจจุบัน
 

หลังจากที่จอร์แดน มุ่งไปให้ความสำคัญกับยอดผู้เข้าชม โดยเสนอมูลค่าฟรีทาง youtube รายได้จากซอฟต์แวร์ของเขาก็เปลี่ยนไปมาก ปัจจุบันนี้ ซอฟต์แวร์ทำรายได้ระหว่าง $80,000 ถึง $100,000 เหรียญ เป็นรายได้แต่ละเดือน นอกจากนั้นอีก $50,000 เหรียญ จาการวางแผนผู้ใช้ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละเดือน ซึ่งตอนนี้มันทำกำไรได้มากถ้าเทียบกับต้นทุนประมาณ $10,000 เหรียญ

คำแนะนำจาก จอร์แดน เวลซ์

"จากคำแนะนำของผมถึงใครก็ตามที่อยากจะเริ่มบริษัท SaaS เป็นของตนเอง คือการสร้างลูกค้า และการสร้างตลาดผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ ถึงแม้มันจะไม่ใช่วิธีที่จะปรับขนาด แต่มันฟรี และลูกค้าก็จะเริ่มซื่อสัตว์กับคุณ คุณจะรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการอะไร เพราะตอนนี้เขาเป็นคนของคุณแล้ว และคุณจะต้องดูแลบริการเขาให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ นี่คือหลักคำแนะนำของผม อย่างที่คุณเห็น มันเริ่มต้นจากการจ่ายก่อน ในความเห็นของผม youtube เป็นข่องทางที่ดีที่สุดจะเริ่มทำตรงนี้

ณต้องศึกษากลุ่มลูกค้าของคุณก่อน โพสต์วิดีโอที่ดีที่มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดที่สามารถให้ประโยชน์กับคนได้จริงๆ คุณควรจะกล่าวถึงซอฟต์แวร์ของคุณให้ละเอียด แต่คุณอย่าปล่อยให้วีดีโอของคุณมีแต่การขายของนะ เพราะเขาจะเกลียดคุณเอาได้ อย่าทำคุณค่าให้ตก แล้วผู้คนจะรักคุณ ไม่ว่าคุณจะขายอะไรก็ตาม" จอร์แดน กล่าว


บทสรุป

ตั้งแต่ที่จอร์แดนเปลี่ยนวิธีการเข้าหาโดยเริ่มจากการเพิ่มสิ่งต่างๆ ที่ฟรีบน Youtube ซอฟต์แวร์ของเขาก็เติบโตขึ้นมาก สร้างรายได้ให้เขาเฉลีย $90,000 เหรียญ/เดือน เขาได้ช่วยคนเป็นพันในการเริ่มธุรกิจอี-คอมเมอร์ช ตัวเขาเองก็เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการเริ่มต้นทั้งนั้น

เขากล่าวว่า นี่เป็นแรงปรารถนาอันดับ 1 ของเขา และเขาก็จะรักษาตรงนี้ใว้ให้นานที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาสามารถจะผันตัวเองไปทำอย่างอื่นก็ได้ง่ายๆ ใน 2 ปีแรกของเขา แต่เขาเลือกที่จะทำมันต่อไป ปัจจุบันนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์ของเขามีมูลค่าระหว่าง $2,500,000 ถึง $3,000,000 เหรียญสหรัฐ

แผนของเขาไม่ใช่แต่จะขายอย่างเดียว แต่เขาเลือกที่จะพัฒนาและต่อยอดออกไป เพราะเขารักในสิ่งที่เขาสร้างมาด้วยใจ ธุรกิจ SaaS เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ร่ำรวย เป็นต้นแบบให้ใครหลายคนที่สามารถเข้าถึงได้ แต่คุณต้องมีการเตรียมการที่ดีเพราะมันใช้เวลา

* SaaS ย่อมาจาก Software-as-a-Service ก็คือ การให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ หรือรู้จักกันในอีกนามว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ระบบ Cloud นั่นเอง

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?
#economics