ในบทความนี้ เราจะมาแชร์กรณีศึกษาของ เจมส์ แอคเคอร์แมน (James Ackerman) ผู้ดูแลเว็บที่ซื้อเว็บไซต์เล็กๆ มาเพื่อปรับขนาดให้ถึงจุดที่ต้องการ จนตอนนี้มันทำให้เขามีรายได้ $19,200 ต่อเดือนได้แล้วโดยใช้โปรแกรมพันธมิตรของ Amazon
เมื่อก่อนเว็บไซต์นี้เคยทำรายได้ $371 ต่อเดือน แต่เมื่อเจมส์ได้ซื้อเว็บไซต์นี้ไปแล้ว อีก 14 เดือนต่อมามันก็สามารถทำรายได้ $19,263 ต่อเดือน และจากการประเมินปัจจุบัน เขาก็สามารถกวาดรายได้ถึง $900,000 แล้ว
ในบทความนี้เราจะแบ่งปันวิธีการสร้างรายได้ของคุณเจมส์จากที่เขาเพิ่มขนาดเว็บไซต์นี้ และอธิบายกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูลอย่างสูง ซึ่งอย่างแรก เราขอแสดงข้อมูลสถิติเกี่ยวกับบทความ ลิงค์ หน้าเว็บ และกลไกการทำงานต่างๆ ในเว็บไซต์นี้ เพื่อให้คุณลองฝึกทำตามจนสามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสเกลเล็กหรือสเกลใหญ่แค่ไหนก็ตาม
การประเมินมูลค่าเนื้อหาเว็บไซต์: การเปรียบเทียบสถานะก่อนและหลังด้วย Sales Multiple
ประวัติความเป็นมาของเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 1: โครงสร้างเว็บไซต์ แผนการตลาดที่เน้นการสร้างและกระจายเนื้อหา และ Semantic SEO
ในการเริ่มใช้วิธีที่เจมส์สามารถเปลี่ยนเว็บไซต์นี้ให้ประสบความสำเร็จได้ โดยเราต้องดูจากโครงสร้างเว็บไซต์ แผนการตลาดเนื้อหา และแผน Semantic SEO ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเจมส์จะทำลายโครงสร้างเว็บไซต์ของเขาก่อน โดยใช้วิธีการดังต่อไปนี้:
>> หมวดหมู่/หมวดหมู่ย่อย/โพสต์
วิธีจัดระเบียบเว็บไซต์ตามโครงสร้างที่อยู่ด้านบน มีดังนี้
เคล็ดลับ: คุณต้องใช้เวลาไปกับการวางแผนการสร้างเนื้อหาอย่างละเอียดเสียก่อน ถึงแม้ในช่วงนี้คุณอาจจะคิดว่าการวางแผนเฉยๆ นั้นไม่ช่วยให้เกิดความคืบหน้าเลย แต่อย่างไรก็ตาม การกำหนดทิศทางและการวางแผนการดำเนินโปรเจคอย่างละเอียดก็ไม่ใช่เป็นแค่สิ่งสำคัญเท่านั้น แต่จัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากจริงๆ ซึ่งถ้าคุณไม่อยากโพสต์ 700 บทความในเว็บไซต์แล้ว ดังนั้นเราจะขอยืนยันเลยว่าคุณก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังแน่นอน
เพื่อสร้างความสำเร็จกับโครงสร้างเว็บไซต์นี้และแผนการสร้างเนื้อหา เจมส์แนะนำให้คุณทำตามตัวอย่างที่อยู่ด้านล่างนี้ได้เลย:
สมมติว่า เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาใน niche ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีโดยมีจุดความสนใจหลัก อย่างเช่น วง Coldplay:
หมายเหตุ: ในการนำข้อมูลออกมาจาก Ahrefs, เจมส์บอกว่า เขาเองก็เคยทำด้วยตนเองมาแล้ว แต่ตอนนี้เขาหันมาใช้ Inlink แทน แค่สรุปเนื้อหา ป้อนคีย์เวิร์ด เลือกภูมิภาค และเครื่องมือนี้สามารถช่วยแบ่งปันกลุ่มหัวข้อต่างๆ พร้อมกับความตั้งใจของผู้ใช้ (อะไร, เมื่อไหร่, ทำไม, ฯลฯ)
เพจ (Pages)
ในการเริ่มต้น คุณสามารถเลือกสิ่งที่เมื่อไหร่ทำไมและที่ไหนรวมถึงเจตนาอื่นๆที่แนะนำโดยลิงค์เชื่อมโยง:
โฮมเพจ (Homepage):
โดยทำตามตัวอย่างนี้ เจมส์บอกว่า คุณสามารถสร้างโครงสร้างเนื้อหาที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีการจัดอันดับสูงขึ้นและได้รับการเยอะขึ้น เขากล่าวว่ามันอาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อตอนแรก แต่มันก็คุ้มค่าแน่นอน
ขั้นตอนที่ 2: แนวทางการสร้างเนื้อหา
เจมส์มีทีมนักเขียนภายในองค์กรที่ปฏิบัติตามแนวทางการสร้างเนื้อหาที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งแนวทางเหล่านี้ก็เป็นคำแนะนำที่จะมาช่วยให้การทำงานในโครงสร้างนี้สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
มีอยู่ไม่กี่สิ่งที่นักเขียนจะได้รับเซสชั่นที่เฉพาะเจาะจงคือ:
แนวทางการใช้ SurferSEO
เจมส์บอกว่า เขาจะเน้นใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์อย่างสูงและศึกษาเว็บไซต์ของคู่แข่งเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือการค้นหา:
ในขั้นตอนนี้เขาไม่ได้มีแค่การวางแผน/กรอบแนวคิดกับเว็บไซต์นี้เท่านั้น เขาก็ยังรวมโฮมเพจ หมวดหมู่ หมวดหมู่ย่อย โพสต์ และ URL ของแต่ละเพจ พร้อมให้คำแนะนำสุดแม่นยำเกี่ยวกับวิธีการเขียนแต่ละหน้าเพจในแง่ของ จำนวนคำ, คีย์เวิร์ดที่จะใช้, ความหนาแน่น, H1, ชื่อ SEO, และเมต้า SEO
"ผมอยากจะแนะนำให้ควรมีการเตรียมความพร้อมมาดีๆ ก่อนที่จะเริ่มทำโปรเจคที่ใหญ่กว่านี้" เพราะแนวทางการสร้างเนื้อหานี้จะช่วยได้ทั้งการประมาณค่าใช้จ่าย การกำหนดระยะเวลา การสร้างทีม การสร้างระบบการมอบหมายงาน ขั้นตอนการตรวจสอบผลงานที่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และแนวทางอื่นๆอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณมีโปรเจคขนาดเล็ก ผมก็ขอแนะนำให้ทำตามแนวทางทั้งหมดนี้อย่างน้อย 80% ของแนวทางที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น เจมส์ได้กล่าวไว้
ขั้นตอนที่ 3: การผลิตเนื้อหา
เจมส์และทีมนักเขียนของเขาเริ่มผลิตเนื้อหาโดยได้ยึดตามแนวทางที่พวกเขาวางไว้เป็นอย่างดี จึงทำให้พวกเขาสามารถผลิตผลงานได้ประมาณ 1,000 หน้า ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น
สรุปเนื้อหาที่ผลิตได้:
ขั้นตอนที่ 4: อัปโหลด, จัดรูปแบบ, ปรับแต่งที่อยู่บนเว็บไซต์ และเผยแพร่
เจมส์บอกว่า คุณสามารถใช้ปลั๊กอิน Link Whisper เพื่อที่จะเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ได้
เขายังอธิบายเสริมมาอีกว่า คุณควรเผยแพร่เนื้อหาของคุณด้วยความรวดเร็วและมีความถี่อย่างเป็นประจำ เพียงแค่คุณยังคงรักษาคุณภาพของเนื้อหาอย่างดีๆ พอเมื่อคุณเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดในแผนเสร็จแล้ว จากนั้นก็โพสต์บทความ 2-3 บทความต่อสัปดาห์ และกำหนดเวลาเผยแพร่ ซึ่งสเต็ปนี้จะช่วยให้อัลกอริทึมของ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีความสดใหม่ด้วย
และคุณควรอัปเดตเนื้อหาเก่าเสมอ เพราะวิธีนี้ก็จะช่วยในการรักษาอันดับได้
"อีกเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับคนที่มีแผนที่จะซื้อเว็บไซต์: หากคุณสังเกตเห็นว่า เว็บไซต์ที่คุณต้องการนั้นมีเนื้อหาที่ล้าสมัยเยอะจนเกินไป หรือมีอายุนานเกินไปได้ ซึ่งผมขอบอกเลยว่าเว็บไซต์แบบนี้น่าสนใจมาก หากคุณได้ซื้อมาแล้ว คุณก็จะสามารถอัปเดตเนื้อหาและอายุของมันได้ แค่นี้ทราฟฟิคจะเพิ่มขึ้นทันที เราได้ทดสอบโดยใช้วิธีนี้กับเว็บไซต์มากกว่า 7 แห่ง และมันได้ผลราวกับเวทมนตร์เลย"
ขั้นตอนที่ 5: Backlinks (Cleaning Up)
การวิเคราะห์
เจมส์พบว่า บริเวณนั้นมีลิงค์ย้อนกลับที่ไม่ดี (toxic backlink) จำนวนมาก นอกจากนี้เจ้าของเว็บไซต์ยังได้สั่งซื้อลิงค์จากเว็บไซต์ต่างๆ อย่างเช่น Fiverr ในอดีต
"เราสังเกตเห็นว่า ลิงค์ที่ไม่ดีมักสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจกำจัดลิงค์พวกนี้"
การดำเนินการ
เจมส์บอกว่า เค้าเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า ขั้นตอนนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อเว็บไซต์อื่นๆ ของเขาด้วย และเขาแน่นอนว่าแนะนำให้ทำขั้นตอนนี้
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สนใจสแปม แต่เว็บไซต์ก็มีโปรไฟล์ลิงค์ย้อนกลับที่แข็งแกร่ง โดยจะมีทีมงานที่คอยดูแลลิงค์ที่ไม่ดี และลิงค์ที่เหลือในโปรไฟล์ก็ยังคงมีความสมดุลและไม่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหา จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ใช้ความพยายามมากนักโดยเฉพาะในการสร้างลิงค์ อย่างไรก็ตามพวกเขาจะสร้างลิงค์ตามธรรมชาติและตามกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 6: ทักษะความรู้ แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และความไว้วางใจ (E.A.T)
Google ให้ความสำคัญกับทักษะความรู้ แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และความไว้วางใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเนื้อหาของคุณควรได้รับการทดสอบมาอย่างละเอียด ได้รับการวิจัยและรับรองโดยผู้คนที่มีความน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญในเนื้อหาของคุณ
เจมส์บอกว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ ดังนั้นเขาจึงขอให้ทีมงานปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:
ส่วนนักเขียนจะถูกขอให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้:
เจมส์เพิ่มนักเขียนเหล่านั้นในหน้าโฮมเพจและหน้าเพจที่ใช้สำหรับแนะนำตัวทีมงานในเว็บไซต์ เขายังเพิ่มช่องทางโซเชียลของเหล่านักเขียนพร้อมกับรายละเอียดและแสดงภาพหน้าตาของพวกเขาในแต่ละโพสต์อีกด้วย
เงื่อนไขทั้งหมดนี้ได้รับการสรุปก่อนที่พวกเขาจะเริ่มดำเนินงาน
เจมส์บอกว่า เขาได้รับผลลัพธ์สุดปังมาก! มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าวิธีอื่นๆ ในการเคลื่อนไหวเป้าหมายของโปรเจคนี้ โดยเขาได้มีผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มาเข้าร่วมในโปรเจคนี้ด้วย ซึ่งเจมส์ไม่เพียงแต่ได้รับลิงค์จากเครือข่ายโซเชียลของพวกเขา แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากที่กดติดตามพวกเขาหลังจากที่ได้แชร์เว็บไซต์นี้
ดังนั้นเขาจึงมีลิงค์ย้อนกลับคุณภาพสูงๆ จำนวนมาก ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์เกิดความน่าเชื่อถือและเพิ่มชื่อเสียงได้อย่างดีเลยทีเดียว
ขั้นตอนที่ 7: การเพิ่มประสิทธิภาพอัตราคอนเวอร์ชั่น(CRO)
เจมส์บอกว่า เขาได้เพิ่มประสิทธิภาพของอัตราคอนเวอร์ชั่นในขั้นตอนที่ 1 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เขาได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ 43 บทความแรก โดยขั้นตอนต่อไป เขาจะเริ่มเพิ่มประสิทธิภาพของบทความเมื่อทุกอย่างได้มีการเผยแพร่ไปแล้ว
ไทม์ไลน์:
เขาได้เปลี่ยนแปลงอะไรกับเว็บไซต์นี้อีกบ้าง?
โดยทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
ในขณะนี้เว็บไซต์นี้กำลังอยู่ในจุดไหน
ในเดือนสิงหาคม 2022 เว็บไซต์นี้สามารถทำรายได้ $20,000 โดยมีผู้เยี่ยมชมเข้ามาที่เว็บไซต์มากกว่า 160,000 ครั้ง โดยเว็บไซต์นี้ก็ยังคงมีการเติบโตขึ้นอยู่เรื่อยๆ เจมส์ยังบอกว่า เขาค่อนข้างมีความสุขกับผลลัพธ์ที่ได้มานี้
เขาค่อนข้างโชคดีที่ได้เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและได้มีโอกาสฟื้นฟูโปรเจคที่มีศักยภาพ ด้วยวิกฤต COVID-19 รวมถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ง่ายต่อการทำผลลัพธ์ที่น่าคาดหวัง
แผนการวางมือ
เจมส์ได้บอกกับเราว่า ในตอนนี้เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะปั้นเว็บไซต์ให้เติบโตต่อไปเรื่อยๆดีมั้ย หรือว่าจะขายเว็บไซต์เลย ซึ่งถ้าหากคุณสามารถทำรายได้ 7 หลักต่อเดือนได้แล้ว คุณก็ควรที่จะลำดับความสำคัญในการทำงานของคุณว่าจะวางมือหรืออยู่ทำต่อ
มีโอกาสที่เจมส์จะขยายโปรเจคนี้ต่อไปให้โตยิ่งขึ้นต่อไป โดยเขาจะเพิ่มคอร์สฝึกอบรมในการแนะนำสำหรับโค้ชและผู้ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาตนเอง และขยายธุรกิจนี้ต่อไป
"ส่วนใหญ่เราจะใช้เวลาทำงานเพื่อขยายตัวธุรกิจนี้และก็ยังไม่มีแผนที่จะทำอย่างอื่นเลย" จากที่เราได้คำนวณฐานผู้เข้าชมที่เพิ่มมากขึ้นและวิธีการสร้างรายได้แล้ว เราจึงคาดการณ์ได้ว่า มันมีโอกาสที่จะสร้างรายได้มากกว่า $50,000 ต่อเดือนในอีก 4 ปีข้างหน้าได้
หากเริ่มทำโปรเจคตั้งแต่ตอนนี้ก็จะคืนทุนภายใน 1.5 ปีและหลังจากนั้นก็เป็นกำไรทั้งหมด โดยเราตั้งใจที่จะลงทุนใหม่กับทุกอย่าง เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งในขณะนี้
เราเพียงแค่ลองคำนวณและการคาดการณ์เท่านั้น "อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นคุ้มค่ากว่าทางเลือกการลงทุนประเภทอื่นๆ แน่นอน" เจมส์ได้กล่าวไว้
สรุป
เจมส์ แอคเคอร์แมน ได้ซื้อเว็บไซต์นี้และสมัยที่มันยังทำรายได้ $371 ต่อเดือน จนเติบโตมามีรายได้ $19,263 ต่อเดือน แน่นอนว่าเขาตัดสินใจที่จะซื้อเว็บไซต์นี้ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ด้วยการวางแผนการขยายธุรกิจที่คำนวณมาอย่างดีแล้ว ดังนั้นเจมส์จึงสามารถทำรายได้มากถึง 5 หลัก
เว็บไซต์นี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก เพราะยังช่องทางการสร้างรายได้อื่นๆ เหลืออยู่อีกหลายตัวเลือก อย่าง เช่น เปิดแชนแนล Youtube สำหรับเว็บไซต์หลักสูตรผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ทำเนื้อหาสำหรับสปอนเซอร์ และตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่มีการริเริ่ม ดังนั้นเว็บไซต์นี้สามารถเติบโตจนมีมูลค่า 7 หลักได้อย่างสบายๆ เลย
"การลงทุนกับเว็บไซต์จัดว่ามีความเสี่ยงอยู่นะ แต่ถ้าหากมีรูปแบบที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว มันจึงช่วยลดความเสี่ยงลงไปเยอะเลย" เจมส์ได้กล่าวไว้
เราหวังว่ากรณีศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ ซึ่งคุณจะสามารถนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ในโปรเจคของคุณเองได้เลยนะ หากคุณมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับพวกเขา คุณก็สามารถคอมเมนท์มาที่ด้านล่างนี้ได้เลย