26 กันยายน 2022 0 455

สร้างรายได้มากกว่า $1,000,000 ภายใน 30 วัน หลังจากที่ Facebook Ads ปล่อยอัพเดท iOS 14

เรากำลังนำกรณีศึกษาของ อิสมาเอล เมาฮับ Ismael Mouhab นักการตลาดของ Facebook และผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ผู้ที่สร้างรายได้มากกว่า $1,000,000 จากยอดขายทั้งหมด หลังจากที่เขาใช้ Facebook ads ที่ Apple ปล่อยตัวอัพเดท iOS 14 ปี 2021

ตัวอัพเดท iOS 14 ทำให้ประสิทธิภาพของ Facebook ad ทำงานไม่เสถียร จึงเกิดผลกระทบกับนักโฆษณาทั้งหลาย จากการติดตามของ Facebook บนอุปกรณ์ iOs ต่างๆ ซึ่งทาง Facebook เองก็ได้ออกมาอธิบายว่า:

“ ทาง Apple ได้ปล่อยการเปลี่ยนแปลงของ iOS 14  ที่ส่งผลกระทบต่อการรับ และการดำเนินการของเครื่องมือต่างๆ อย่างเช่น Facebook pixel, แอปโฆษณาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ รวมไปถึงการปรับแต่ง เป้าหมายลูกค้าปลายทาง และการรายงานการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเครื่องมือทางธุรกิจอีกมากมาย”

นักโฆษณาหลายๆ ท่านประสพปัญหาเกี่ยวกับแคมเปญของ Facebook ในช่วงเวลานั้น แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถเจาะรหัสได้ก่อนหน้านี้ ทำให้กอบโกยเงินมหาศาลจากแคมเปญนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ อิสมาเอล นักโฆษณาผู้ที่เจาะอัลกอลิธึ่มของFacebook หลังจากที่ IOS อัพเดทได้ไม่นาน และยังทำให้รายได้ของเขาเพิ่มขึ้นไปถึง 7 หลัก

ในบทความนี้อิสมาเอล จะมาแบ่งปันกลยุทธ์ที่เขาและทีม ใช้ในการขยายอีคอมเมิร์ซของเขา ผ่านโฆษณาบน Facebook ตั้งแต่มีการปล่อยการอัพเดทของ iOS 14 เป็นต้นมา

สรุปยอดของแบรนด์
 

Niche: อุปกรณ์สำนักงาน

AOV: $120+

ROAS: 3.5

TOF: งบโฆษณา 80%  
 

ครีเอทีฟโฆษณา
 

อิสมาเอล สังเกตว่าหลังจากที่ IOS ปล่อยการอัพเดทออกมาทำให้ Facebook เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะด้าน ข้อเสนอและโฆษณาต่างๆ  เพียงแค่มีโฆษณาดีๆ 1 ตัว ก็สามารถทำให้ธุรกิจของคุณมีรายได้เพิ่มถึง $100,000 เพียงแค่สิ่งที่คุณต้องหาก็คือ ลูกค้าจำลอง แล้วหลังจากนั้นจะทำให้คุณทราบได้ว่า คุณจะหาอะไรมารังสรรค์ให้ลูกค้าคุณ และทำการผลิต

โฆษณาออกมาได้ไวให้ชนะใจลูกค้า ในยุคที่เราสามารถคาดการณ์ได้แบบนี้หลังจากมีการอัพเดท iOS 14 ซึ่งอิสมาเอล ได้ใช้ 2 กลยุทธ์ ในการดำเนินการดังนี้:

  • Explainer Ads
  • Founder Story Ad
     

1.     Explainer Ads
 

การใช้โฆษณาเป็นตัวอธิบายโดยจะใช้เวลาอยู่ที่ 5-15 วินาที ในการแสดงให้ผู้คนทราบถึงหลักการที่แท้จริงของคำว่า “ah-ha moment” หรือจะเรียกว่า “ตัวช่วยสร้างความประทับใจ” ก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าของคุณเข้าใจพื้นฐานว่ามันใช้งานกับผลิตภัณฑ์ของเขาอย่างไรในตัวอย่างสั้นๆ นี้

โฆษณาที่มีอิทธิพลมากๆ จะเจาะเข้าไปถึงหัวใจของผลิตภัณฑ์ได้ ว่าการมีข้อเสนอทำไมมันถึงแตกต่าง ก็เพราะว่าการอธิบายด้วยโฆษณานั้นมันใช้เวลาไม่นาน ซึ่งทาง Facebook เองก็จะทำการปล่อยโฆษณานั้นวนไปเรื่อย ๆ โฆษณาตัวที่จะทำงานได้ดีมากๆ โดยเฉพาะโฆษณาตัวเปิด prospecting ad และยังทำงานได้ดีกับโฆษณาตัวปิด remarketing ad ได้อีกด้วย ถ้าวิดีโอมีเนื้อหาที่ชัดเจนพอ

เมื่อคุณมีลูกค้าติดต่อเข้ามา คุณก็จะสามารถทราบถึงเหตุผลได้ทันทีว่า ทำไมพวกเขาต้องซื้อจากคุณ และคุณก็ยังสามารถกำหนด “ah-ha moment” ได้จากวิดีโอ อธิบายโฆษณา

เมื่อมันกลายมาเป็นโฆษณาแล้ว สิ่งที่คุณต้องรู้จาก “ลูกค้าจำลอง” มีความจำเป็นมาก ที่จะต้องให้ความใส่ใจกำหนดจุดมูลค่าสูงสุดของลูกค้า และเราต้องมาระดมความคิดสร้างสรรค์ให้ออกมาเป็น 3 ทาง เพื่อที่จะแสดงวิสัยทัศน์ให้ลูกค้าได้เห็นจุดของความคุ้มค่า

จำไว้ให้ดีว่าวิธีนี้ จะได้ผลดีที่สุดกับการใช้โฆษณาแบบไม่มีเสียง และด้วยการเคลื่อนไหวจำนวนข้อความเล็กน้อยในโฆษณา (ถ้าบ่อยครั้ง คุณก็สามารถใส่ข้อความที่วิ่งได้ หรือแค่รูปภาพเฉยๆ) และควรมีความยาวแค่ 8-15 วินาทีเท่านั้นพอ
 

2.     Founder’s Story Ads (FSA)
 

การแสดงโฆษณาด้วยเรื่องราวของผู้ก่อตั้งนั้น จะช่วยให้เห็นภาพถึงปัญหา และการแก้ปัญหาที่เจ้าของก่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมาได้อย่างไร การสร้างเรื่องราวของโฆษณานั้นทำให้เกิดอิทธิพล เพราะว่าตัวโฆษณาสามารถที่จะขายความจำเป็นของลูกค้าบนผลิตภัณฑ์ของคุณ ถ้าปราศจากเรื่องราวเหล่านี้แล้ว จะทำให้โฆษณาของคุณมีแต่การขายอย่างเดียว

โฆษณาเหล่านี้ให้ผลตอบรับดีมาก เพราะเป็นเคล้าโครงของเรื่องราว ถ้าคุณเล่าเรื่องราวของเจ้าของได้ดี มันจะช่วยสร้างให้เกิดความลึกซึ้ง ความบันเทิง และเป็นแรงบันดานใจ ให้กับผู้คนได้ศึกษาจากการชมโฆษณาตัวนี้ และเมื่อคุณอยากจะถามพวกเขา ให้ช่วยซื้อในภายหลัง ก็จะทำให้พวกเขามีความสนใจอย่างมาก ในขณะที่โฆษณาง่ายๆ ตัวอื่นจะมุ่งไปที่ตรรกะอย่างเดียว โฆษณาแบบนี้จะช่วยให้การขายของคุณได้รับการตอบสนองทางความรู้สึกจากลูกค้าเป็นอย่างดี และยังทำงานได้ดีกับโฆษณา prospecting ad อีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี โฆษณาแบบนี้มักจะก่อปัญหาเล็กน้อยถ้าตัวเจ้าของไม่เก่งเรื่องการใช้กล้อง

โฆษณาสมควรที่จะใช้เวลาในการบันทึกไม่เกิน 1 ชั่วโมง และคำถามข้างล่างเหล่าสามารถถามได้ตอนคุยกับลูกค้า:

1.   เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังสักนิด (เจ้าของเรื่อง)

2.  ตอนที่สร้างผลิตภัณฑ์/บริการนี้ ก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง?

3.  ในการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหานั้น อะไรคือ จุดสำคัญ ใหญ่ๆ?

4.  คุณจะรู้ได้เมื่อไหร่ว่า ผลิตภัณฑ์/บริการ ของคุณนั้นได้ผลดีกับลูกค้าของคุณ?

5.  ทำไม ผลิตภัณฑ์/บริการ ของคุณถึงดีกว่า ผลิตภัณฑ์/บริการ ของคนอื่นๆ ?

6.  จงบอกมา 1 ข้อ ว่าอะไรที่คุณภูมิใจในผลิตภัณฑ์ของคุณ?

7.  คุณเคยเห็นการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ของคุณ ที่ได้ใช้ในชีวิตของลูกค้าหรือไม่? แล้วสิ่งนั้นก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับโลกใบนี้?

ข้อเสนอ
 

อิสมาเอล มีประสบการณ์มากมายที่เกี่ยวกับข้อเสนอต่างๆ และกลยุทธ์เดี่ยวที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีที่สุด สำหรับเขาก็คือ Video Sales Letter (VSL) หรือวิดีโอขายตัวหนังสือ และการเพิ่มส่วนลดให้กับลูกค้าซึ่ง VSL และส่วนลด 2 ตัวนี้จะช่วยให้ค่าเฉลี่ยออร์เดอร์ AOV ของคุณเพิ่มขึ้นและในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่ม อัตราการผันผวน (CR) ให้คุณอีกด้วย

อิสมาเอลเล่าว่า ปัจจุบันนี้ข้อเสนอแบบ ‘ซื้อ 1 ชิ้นอีก 1 ชิ้นลด 25%’ ค่อนข้างใช้ได้ผลดี อีกข้อเสนอที่ดีที่เขาใส่ลงไปคือ ลด 20% + ลดเพิ่มอีก 10% ถ้าสั่งสินค้าอย่างอื่นเพิ่มเติม และส่งฟรีสำหรับรายการสินค้าที่มีราคา $100 ขึ้นไป

เมื่อ AOV เพิ่มขึ้น เขาก็เพิ่มยอดคำสั่งซื้อมูลค่าขั้นต่ำ ด้วยการปลดล๊อคส่วนลด ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้ยอดคำสั่งซื้อขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่ง AOV หยุดเพิ่มไปเอง

“ด้วยข้อเสนอแบบนี้ ทำให้เขาสร้างรายได้ $63,000 ภายใน 4 วัน สำหรับแบรนด์ของเล่นเด็กอย่างเดียว นี่เป็นยอด 10% ของรายได้ของแบรนด์นี้ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้  (รายได้ $600K เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว) 

จากการยื่นข้อเสนอลดราคาต่างๆ จะไม่มีใครคิดว่าผลิตภัณฑ์ของคุณ “ราคาถูก”  ข้อเสนอเป็นเพียงข้ออ้างที่จะทำให้ลูกค้าทำการซื้อเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดข้อเสนอตัวนี้ ไม่ก่อให้เกิดกำไรจาก ROAS เพราะ อัตราการผันผวนสูงขึ้น ก็ให้ไปโฟกัสที่การโฆษณา และเพิ่มการขายแทน” อิสมาเอล อธิบาย

กลยุทธ์ของโฆษณาบน Facebook
 

อิสมาเอลสร้างแคมเปญ Facebook ของเขา ด้วยหลัก 3 ข้อดังนี้:

  •   Phase 1: Customer avatar testing
  •  Phase 2: Audience, creatives, and offer testing
  •   Phase 3: Stability and scaling

Phase 1: Customer avatar testing การทดสอบลูกค้าจำลอง
 

โครงสร้างแคมเปญ Customer avatar

  •  3 แคมเปญ ABO (1 แคมเปญ ต่อ ลูกค้าจำลอง)

ชุดโฆษณาที่ 1 --- ความน่าสนใจ 1, จำนวนคลิก 1วัน, $30 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 --- ความน่าสนใจ 2, จำนวนคลิก 1วัน, $30 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 --- ความน่าสนใจ 3, จำนวนคลิก 1วัน, $30 / วัน

  • 1 ชุดโฆษณาจะมี โฆษณา 5 ตัว --- วิดีโอ 2, ภาพ 2, และ 1 carousel (หรือลิงค์ วีดีโอ/รูปภาพ อย่างใดอย่างหนึ่ง)

รายละเอียดของชุดโฆษณา อย่างเช่น อายุ เพศ ก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าจำลอง การแสดงโฆษณาในวงกว้างอาจะทำให้เกิดความไขว้เขวได้

ปล่อยโฆษณา 2 วัน ปล่อยให้ CPA ต่ำสุดกับลูกค้าจำลองชนะ แม้ว่าในขณะนั้น ลูกค้าจำลองทั้งหมดจะไม่ก่อให้เกิดกำไรก็ตาม การเลือกให้ CPA ต่ำสุด กับลูกค้าจำลอง ก็เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า
 

Phase 2: Audience and Creatives Testing  คือการทดสอบครีเอทิฟโฆษณาและผู้ชม
 

เมื่อคุณทราบผลแล้วว่าลูกค้าจำลองชนะหรือมีการตอบสนองที่ดีกว่า ต่อไปคุณก็สามารถปล่อยชุดโฆษณา ที่มีความน่าสนใจให้เกี่ยวเนื่องกับลูกค้า โดยให้เลือกความน่าสนใจใหม่ 5 อัน และใช้แค่ 3 อันแรก ที่ได้ผลดี
 

  • แบบเก่า:

ชุดโฆษณาที่ 1 --- ความน่าสนใจ 1, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 --- ความน่าสนใจ 2, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 3 --- ความน่าสนใจ 3, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน
 

  • แบบใหม่:

ชุดโฆษณาที่ 4 --- ความน่าสนใจ 4, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 5 --- ความน่าสนใจ 5, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 6 --- ความน่าสนใจ 6, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 7 --- ความน่าสนใจ 7, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 8 --- ความน่าสนใจ 8, ยอดคลิก- 1 วัน, $100 / วัน

  • 1 ชุดโฆษณาจะมี โฆษณา 5 ตัว – วิดีโอ 2, ภาพ 2, และ 1 carousel (หรือลิงค์ วีดีโอ/รูปภาพ อย่างใดอย่างหนึ่ง)

ปล่อยโฆษณาสัก 3 วัน ถ้าในระหว่างนั้น รู้สึกว่าโฆษณาตัวนี้มียอดคนเข้าชมน้อย แล้วทำให้ยอด CPC สูง หรือ CTR ต่ำ ก็ให้คุณหยุดโฆษณาตัวนั้น แล้วไปแนะนำโฆษณา หรือผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเป้าหมายแรกแทน

รอบต่อไป ก็ปล่อยโฆษณาที่มีคุณภาพ CPC ต่ำ และ CTR สูงแทน ในระยะ stability ให้เราแนะนำข้อเสนอ และโฟกัสไปที่ค่า KPIs ขั้นต่ำที่จะได้รับแทน (โดยปรกติแล้ว ถ้าโฆษณามาถึงจุดนี้แล้วยังไม่ค่อยทำกำไรเท่าไหร่ – ซึ่งจริงๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องมุ่งไปที่กำไร)
 

Phase 3: Stability and Scaling เมื่อเกิดความมั่นคง ก็ให้ขยับขยาย
 

มุ่งให้เกิดความมั่นคงไปข้างหน้า ซึ่งอิสมาเอลโฟกัสไปที่การเพิ่มค่า AOV และ CR ผ่านแคมเปญนี้ คุณสามารถใช้ข้อเสนอที่กล่าวไปข้างต้น ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลกับลูกค้าหลายกลุ่ม

โครงสร้าง Stability campaign

  •  CBO 1 ---- TOF ---- $1,000/วัน

ชุดโฆษณาที่ 1 – ความน่าสนใจ 1, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 – ความน่าสนใจ 2, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 3 – ความน่าสนใจ 3, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 4 – ความน่าสนใจ 4, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 5 – ความน่าสนใจ 5, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 6 – ความน่าสนใจ 6, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 7 – ความน่าสนใจ 7, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 8 – ความน่าสนใจ 8, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

  •  การชนะหรือที่มียอดมาก 3-5 โฆษณา ต่อ ชุดโฆษณา

ปล่อยโฆษณา 2 วัน ถ้าเกิดไม่เห็นกำไร ก็ให้ปิดชุดโฆษณาที่แสดงผลน้อยที่สุด ถ้าหลังจากปล่อยไปได้ 2 วันแล้ว ตัวแคมเปญเกิดกำไรขึ้นมา ก็ปล่อยให้โฆษณานั้นทำงานไปอีก 4 วัน โดยที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรรวมไปถึงงบประมาณด้วย

นี่คือ การปรับเปลี่ยนแคมเปญ ถ้าเกิดกำไร

  • CBO 2 – Broad TOF - $1,000 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 1 – PUR LLA 1%, 1 ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 – PUR LLA 2%, 1 ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 3 – PUR LLA 3%, 1 ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 4 – PUR LLA 4%, 1 ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 5 – PUR LLA 1%, 1 ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

ชุดโฆษณาที่ 6 – Broad, ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 – วัน

  •  ให้ดูผลชนะ 3-5 โฆษณา ต่อ ชุดโฆษณา

“โดยปรกติแล้ว ส่วนมากเราจะจ่ายงบของ broad และ LLA adsets ที่ 5% ถ้าเกิดมันสร้างกำไรให้ได้ ก็ปล่อยให้มันดำเนินการไป แต่ถ้ามันแสดงประสิทธิภาพแย่ เราก็ปิด ads ที่ไม่ได้เรื่องไป แต่ถ้ามันยังแสดงประสิทธิภาพต่ำอยู่ก็ให้ปิดระดับชุดโฆษณานั้นไปเลย” อิสมาเอล อธิบาย

ช่วงขยายแคมเปญ
 

ขั้นตอนนี้ คือเราตั้งเป้าหมายเริ่มต้นเอาไว้ที่ $100,000 / เดือน ด้วยการใช้ MOF และ BOF ซึ่งสามารถที่จะทำได้โดยขั้นตอนต่อไปนี้:

  • ให้เพิ่มงบประมาณ 10% ทั้งสองของแคมเปญ TOF ทุกๆ 2 วัน
  •  ถ้า ROAS ต่ำกว่า 0.5 หรือต่ำไปมากกว่านั้น ให้รอ 3 วัน (แทนที่ 2 วัน) ก่อนที่จะทำการเพิ่มงบประมาณลงไป
  •  ในขณะเดียวกัน ให้ปล่อยแคมเปญ ‘TOF- ทดสอบผู้ชม’ อีกครั้ง
  • เพิ่ม ชุดโฆษณาใหม่ที่ได้ผลจาก ‘TOF ---- แคมเปญทดสอบผู้ขม’ ไปเป็น ‘TOF----ขยายแคมเปญ’ แทน วิธีนี้จะทำให้คุณได้ผู้ชมเพิ่มขึ้นในงบประมาณที่คุณตั้งไว้ เพื่อหลีกเลี่ยง ads ที่ประสิทธิภาพน้อยด้วย (นี่คือวิธี ที่จะใช้ต่อสู้กับความเหนื่อยล้าของการยิง ads มาหลายเดือน)
  •  ในระดับนี้ ให้แนะนำ MOF และ BOF

โครงสร้างแคมเปญ MOF

  •  แคมเปญ ABO

ชุดโฆษณาที่ 1 – 3 วินาที vv --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $50 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 – 50% vv --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $50 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 3 – 95% vv --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $50 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 4 – 180 วัน APE --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $80 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 5 – 365 วัน APE --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $80 / วัน

  • โฆษณา 3 ตัว ต่อ ชุดโฆษณา – โฆษณา และ เนื้อหา จะต้องพูดคุยเกี่ยวกับผลประโยชน์ จะต้องติดหู หรือ มีข้อเสนออย่างอื่น

การเพิ่มงบประจำวัน จะต้องขึ้นอยู่กับผลกำไรของ ROAS

โครงสร้างแคมเปญ BOF

  •  แคมเปญ ABO

ชุดโฆษณาที่ 1 – 30 วัน AWV --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $80 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 2 – 60 วัน AWV --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $50 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 3 – 180 วัน AWV --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $80 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 4 – 30 วัน ATC --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $50 / วัน

ชุดโฆษณาที่ 5 – 180 วัน ATC --- ยอดคลิก หรือ ยอดผู้ชม 1 วัน, $80 / วัน

  •  โฆษณา 3 ตัว ต่อ 1 ชุด – โฆษณา และ เนื้อหา ควรพูดถึงเกี่ยวกับประโยชน์ หรือ ข้อเสนอ

ด้วยงบประมาณและโครงสร้างตัวนี้ ทำให้อิสมาเอล สร้างรายได้ถึง $100,000 ในเป้าหมายถัดไปต้องการที่ $1,000,000 ที่ $1,000,000 ภายใน 30 วัน และนี่แหละคือวิธีที่อิสมาเอลทำ ซึ่งก็มีทางเดียวที่เขาจะทำให้ถึงเป้าหมาย $1,000,000 ได้ไวขึ้น เขาก็ต้องปรับปรุงข้อเสนอ โดย

  • ข้อเสนอปัจจุบัน: ลด 20% + ลดเพิ่มอีก 10% และส่งฟรีถ้ายอดสั่งซื้อถึง $100
  • ข้อเสนอใหม่: ลด 40% + ลดเพิ่มอีก 10% และส่งฟรีถ้ามียอดสั่งซื้อถึง $150

หลังจากที่ทำการปรับปรุงข้อเสนอแล้ว ขั้นตอนต่อไปให้ทำดังนี้:

  •  ถ้า AOV เพิ่มขึ้นมากกว่า มูลค่าซื้อสินค้าขั้นต่ำ ก็เพิ่มส่วนลด 50% ทุกครั้ง
  •  แนะนำข้อเสนอตัวใหม่ให้กับลูกค้าทุกๆ ช่องทาง อย่าง TOF, MOF, BOF
  •  ถ้าข้อเสนอตัวใหม่ทำกำไรได้หลังจาก 2 วัน ก็ปล่อยโฆษณาเพิ่มอีก 2 วัน ก่อนที่จะทำการเพิ่มงบประมาณแคมเปญ 20%
  •  ถ้าข้อเสนอตัวใหม่ไม่ทำกำไร เปลี่ยนข้อเสนอไปจนกว่าคุณจะเจอตัวที่ converts ขั้นต่ำ 2%
  • ถ้าแคมเปญไม่แสดงผลงานเลย ก็ให้ทำซ้ำ และเพิ่มงบประมาณไปอีกครั้ง ในขณะนั้นก็ให้ปิดแคมเปญตัวเก่าไป
     

นี่คือวิธีที่อิสมาเอล บริหารเพิ่มรายได้ถึง $1,000,000 ภายใน 30 วัน นับจากที่ปล่อยอัพเดท iOS 14 ออกมา

เพราะถ้ามันตรวจจับเส้นทางได้แล้ว เขาก็จะใช้ซอฟต์แวร์ Hyros จับทาง หลังจากที่รายได้เพิ่มไปที่ $100,000

  

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?