วันนี้เรามีกรณีศึกษาจากคุณ Jake Fisherman โปรแกรมเมอร์ผู้สร้าง ซอฟต์แวร์ MacBook ที่ทำเงินให้เขา $1,000 ทุกเดือน ในกรณีศึกษานี้ เราจะมาดูกันว่า เขานำไอเดียนี้มาจากไหน พัฒนาและทำการตลาดอย่างไร จากนั้นเราจะมาดูรายได้ในแต่ละเดือนของเขา
ไอเดีย
เขามีไอเดียที่จะสร้าง Audio Visualizer สำหรับ Touch Bar บน MacBook Pro
Jake มีไอเดียนี้อยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ามีใครทำไปแล้วหรือยัง ในช่วงกักตัว เขาเลยค้นหาดูและพบว่ายังไม่มีใครทำ นั้นจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาทำโปรเจกต์นี้
การเตรียมตัว
นี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเปิดตัวซอฟต์แวร์, เว็บไซต์ Affiliate, ธุรกิจ, และอื่น ๆ ให้ประสบความสำเร็จ Jake คุยกับผู้พัฒนาหลายคนเกี่ยวกับโปรเจกต์ โดยคาดว่าต้องใช้งบประมาณ $6,000 - $10,000 ในการพัฒนา ด้วยความที่ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีผู้พัฒนา Mac มากเท่าไรนัก และ Complex Nature ของการสร้างแอพเสียงบน Mac ก็ไม่ได้ช่วยเลย
ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง Jake รู้ว่าตัวเองต้องจ่ายเยอะแน่และเขาต้องคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะมีคนซื้อแอพมากพอจนได้เงินต้นคืนมาหรือเปล่า แต่เพราะอยากได้มาครอบครอง ทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้าสร้างแอพต่อ
Jake ทำโพลขึ้นบน Reddit ใน Sub ของ Mac และ MacBook Pro เพื่อดูว่าผู้คนจะยอมจ่ายเพื่อซื้อแอพนี้ไหม เกือบ 400 คน ที่โหวตและผลที่ได้คือ :
แน่นอนว่านี้ทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กหน่อย เขาเข้าไปคุยกับหลายคนที่คาดว่าจะมาเป็นลูกค้าเกี่ยวกับไอเดียนี้ และส่วนใหญ่ก็ตอบมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "โคตรเจ๋งเลย! แต่ไม่รู้นะว่าจะรอดหรือร่วง"
แถม Jake ยังโพสต์บนช่อง YouTube ของเขา เพื่ออธิบายไอเดียและผลตอบรับก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล จนในที่สุดเขาก็พบว่า เขาใช้วิธีการเข้าถึงที่ผิดวิธี เพราะเขาเพียงแค่พยายามอธิบายไอเดียให้ออกมาเป็นคำพูด โดยที่ไม่โชว์อะไรให้เห็นเลย เขาต้องโชว์ให้ผูคนเห็นว่า ไอเดียนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร เขาเลยทำแอนิเมชันออกมา แล้วโพสต์ลง Reddit อีกครั้ง
ผลลัพธ์
ผลปรากฏว่า โพสต์นั้นได้รับความนิยมล้นหลามและความคิดเห็นที่เป็นกระแสมากที่สุดก็คือ :
"อันนี้ ฉันยอมจ่ายให้ 5 เหรียญ และมั่นใจว่าคนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน" แถมยังมีโหวตเห็นด้วยสูงมาก
ตอนนั้นเขารู้ทันทีเลยว่า เขาต้องไปต่อกับโปรเจกต์นี้ให้ได้
ช่วงนั้น Jake กำลังตามอ่านหลักการต่าง ๆ จากหนังสือ All In Startup ของ Diana Kander แนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้คือ "ก่อนจะลงเงินใน Startup คุณต้องมีหลักฐานก่อนว่า มีคนพร้อมที่จะลงทุนและสิ่งที่ทำอยู่ตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายหรือเปล่า"
การสร้างซอฟแวร์
แม้จะได้รับความคิดเห็นสนับสนุนจากโพสต์บน Reddit ตัว Jake ก็ยังอยากลดความเสี่ยงในโปรเจกต์
เขาเริ่มปรึกษากับผู้พัฒนาคนใหม่เกี่ยวกับการสร้าง MVP หรือ Most Viable Product ผู้พัฒนาคนใหม่เริ่มลงมือทำด้านรูปร่างของโปรเจกค์ ในขณะที่เขากำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจโค้ดของเสียงในโปรแกรม เขาเข้าเรียนคอร์สบางตัวที่สอนเขียน Python ของมหาลัย เพื่อที่เขาจะได้พอมีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม ส่วนโค้ดเสียงนั้นเขาจนปัญญาจริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงพยายามต่อไป
พวกเขาใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ในการสร้าง MVP จนเสร็จ ตอนนี้ตัวแอพสามารถใช้ไมโครโฟน หรือระบบเสียงเพื่อรวบรวมข้อมูลเสียงและสร้างภาพออกมาตามข้อมูลที่ได้รับ นี้เป็นตอนที่เขาปล่อยลง Patreon
Jake เก็บเงินกับผู้สนับสนุนซอฟแวร์ที่ $3/เดือน เพื่อแลกกับการเข้าถึง Beta Access และ $5/เดือน สำหรับ Beta Access และการนำชื่อผู้สนับสนุนไปไว้บนเว็บไซต์ สิ้นสุด 3 เดือน เงินสนับสนุนที่ได้จาก Patreon มีมากพอที่จะจ่ายค่าจ้างผู้พัฒนาคนใหม่ ( และอีกสองคน ในตอนที่เขาไม่ไม่เข้าใจว่าต้องเขียนอะไรยังไง ) ตีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ $1,200
เขาลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะจากการเรียนเขียนโค้คของโปรแกรม จนเขาเริ่มเขียนโค้ดเสียงบางส่วนด้วยตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายอีกส่วนที่สูงมากในครั้งนี้ก็คือ เวลา
เมื่อ Jake คุ้นชินกับการเขียนโค้ด เขาหมกหมุ่นกับการเรียนเขียนโค้ด ตามอ่านบันทึกการเขียนโค้ดของคนอื่น เหมือนกับนักเขียนหลาย ๆ คน การเขียนโค้ดคือสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขา ไม่ว่าจะตอนอาบน้ำ ตอนเข้ายิม หรือตอนจะนอน โดย Jake บอกว่า :
"ผมจำได้ชัดเจนเลยว่า ระหว่างที่กำลังออกกำลังกายที่ยิม อยู่ ๆ ในหัวผมก็ : "ใช่เลย.. นี้แหละวิธีแก้บั๊กที่ตามหาอยู่ ทำไมพึ่งคิดได้" ผมรู้สึกดีและแย่มากในเวลาเดียวกัน เพราะในหัวผมคือแบบ กำลังไฟลุกโชนเลย ทำให้หยุดคิดไม่ได้"
แล้วในที่สุด ซอฟแวร์ก็พร้อมเปิดตัวหลังผ่านไป 3 เดือน
จำนวนตัวเลข
Jake เปิดตัวโปรเจกต์ออกมาอย่างเป็นทางการในปลายเดือนมกราคม 2021 และเขามีความสุขมาก ๆ กับผลลัพธ์ที่ได้
กลยุทธ์การตั้งราคาที่เขาใข้คือ $5 สำหรับใบอนุญาต 2 ปี หรือ $10 สำหรับตลอดชีพ
เขายังใช้ Paddle ที่เป็นบริการจัดเก็บรายได้มาช่วยออกใบอนุญาต พวกเขาทำงานดีมากและจัดการภาษีต่างแดนได้ทั้งหมดเลย ทำให้เขาสามารถขายได้ในทุกประเทศและไม่ต้องกังวลเรื่องยื่นภาษี พวกเขาขะเก็บส่วนแบ่งประมาณ 10-15% ของค่าธุรกรรม
คุณจะสังเกตเห็นว่า กำไรจะค่อย ๆ ลดลงมา ก่อนจะกลับมาพุ่งสูงขึ้นในเดือนพฤษภาคม ที่ค่อนข้างสูงในตอนแรกเป็นเพราะอยู่ช่วงเปิดตัว และติดอันดับใน Product Hunt หลังจัดอยู่บนแพลตฟอร์มและมีชื่อเสียงไปทั่วโซเชียลมีเดีย
พอถึงเดือนเมษายน จะเป็นรายได้ที่มาจาก Organic search หรือ Word of Mouth เท่านั้น ในเดือนพฤษภาคม อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นมากในแง่การค้นหาจากทั่วโลก
แผนในอนาคต
หลังจากทำตามเป้าหมายจนมีรายได้ประมาณ $1,000/เดือน ด้วยซอฟแวร์ Jake มีแผนที่จะเขียนบทความบางตัว เพื่อเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งตัวเว็บก็มี Backlink จากสื่อที่ทำข่าวพูดคุยเกี่ยวกับซอฟแวร์อยู่แล้ว แต่ที่เขียนเป็นเพราะว่า บทความใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มอันดับของคอนเทนต์ให้ง่ายขึ้นในอนาคต
เราหวังว่าบันทึกการเดินทางในครั้งนี้ จะช่วยทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ หรือใครอีกหลาย ๆ คน ให้ได้เริ่มต้นทำโปรเจกต์ซอฟแวร์ของตัวเอง