ในบทความนี้คุณเจสซี่ เกทซ์มุนี (Jesse Geitzmuni) จะมาอธิบายวิธีทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ จากการโปรโมตหน้า Affiliate ของเขาด้วย Google Search Ads โดยคุณเจสซี่เขาเป็นผู้ประกอบการการตลาดออนไลน์คนหนึ่ง ในครั้งแรกเขานั่นก็เคยพยายามสร้างรายได้ออนไลน์แต่ก็ยังทำกำไรไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็เริ่มมีรายได้จากการทำงานออนไลน์แบบ Full-time หลังจากที่ใช้ช่องทางอีเมลในการทำการตลาด และกลยุทธ์การกำหนดเป้าหมายใหม่ ปัจจุบันเขาอยู่ในวงการนี้มาเกือบสิบปีแล้ว
คุณจะเห็นได้ว่าบัญชี Google Ads ของเขาได้ใช้เงิน $2,992.50 ในการโปรโมตโปรแกรมการตลาด Affiliate ของเขา นี่เป็นกรณีศึกษาที่คุณห้ามพลาดเลย
รายได้จากการทำการตลาด Affiliate
ด้านล่างนี้เป็นตัวเลขรายได้ทั้งหมด รวมตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 ถึงเดือนกรกฎาคม 2019
รายได้รวมทั้งหมดเป็น $277.11 และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเป็น $2,249.23 อย่างไรก็ตามมันแทบเป็นไปได้ที่จะขยายรายได้มากถึง $30,000 หรือมากกว่านั้นได้
วิธีการค้นหาโปรแกรม Affiliate เพื่อใช้ในการโปรโมต
ในขั้นตอนแรก คุณจะต้องค้นหาโปรดักที่ดีที่สุดเพื่อเอาไปทำการโปรโมต โดยใช้ Google ในการค้นหา จากนั้นให้พิมพ์คีย์เวิร์ดว่า "เข้าร่วมโปรแกรมการวิจัยโปรดัก Affiliate ของเรา" ในเครื่องมือค้นหาของ Google ก็จะแสดงผลการค้นหา ซึ่งคุณจะต้องค่อยๆตรวจสอบทีละรายการ เพราะว่าในขั้นตอนนี้คุณต้องอดทนที่จะทำตามผลลัพธ์ทั้งหมดและทำการตัดสินใจดีๆด้วย อาจจะต้องพิจารณาเลือกซอฟต์แวร์บนเว็บหรือแอปพลิเคชันที่เพื่อใช้โปรโมตโปรดักบน Amazon หรือ Shopify ได้ ซึ่งจะทำให้ช่วยให้ผู้คนค้นหาโปรดักของคุณได้ โปรดักที่คุณควรเลือก มันควรมีความคล้ายคลึงกับเครื่องมือการวิจัยโปรดักอีคอมเมิร์ซด้วย
คุณเจสซี่แนะนำให้เลือกโปรดักที่เราจะได้รับค่าคอมมิชชั่น 25% หรือสูงกว่านั้นจะดีมาก ตัวอย่างเช่น คุณสามารถโปรโมตโดยเลือกจากทาง ProductMafia โดยแพลตฟอร์มนี้จะจ่ายค่าคอมมิชชั่น 55 เปอร์เซ็นต์ มันสามารถช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้ เพราะทางข้อมูลของ ProductMafia นั้นมีพร้อมอยู่ที่ให้ด้านล่าง และคุณควรอย่าลืมว่าระยะเวลาของคุกกี้มี 60 วัน จำไว้ให้ดีๆมันสำคัญกับการทำงานของคุณ
นี่คือตัวอย่างของข้อมูลโดยละเอียดที่คุณจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
อีกโปรแกรม Affiliate ที่ควรค่าแก่การตรวจสอบคือ Zonbase.com (ก่อนหน้านี้เป็น shopinspect) ซึ่งเสนอค่าคอมมิชชั่น 50% ในแต่ละครั้งที่ปิดการขายได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังมีบน Zonbase ก็จะเป็น Helium10 พร้อมค่าคอมมิชชั่น 25% ตามที่แสดงด้านล่าง คุณไม่ควรทำงานกับ JungleScout เพราะเราจะได้รับค่าคอมมิชชั่นแค่ 10%
ข้อควรระวังเลยก็คือ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโปรแกรม Affiliate นั้นอนุญาตให้คุณใช้ Google Ads สำหรับแคมเปญของคุณได้รึเปล่า คุณเจสซี่ได้อธิบาย:
"เมื่อคุณหาโปรแกรม Affiliate ที่คุณต้องการโปรโมตได้แล้ว โปรดตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า พวกเขามีกฎข้อห้ามอะไรบ้าง ที่ระบุว่า คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ประมูลชื่อแบรนด์ของพวกเขา เพราะการที่เรียกใช้แคมเปญโฆษณาในการค้นหา คุณก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสังกัดด้วย โปรแกรม Affiliate บางโปรแกรมก็ไม่อนุญาตให้คุณทำเช่นนี้ สิ่งที่คุณต้องการทำก็คือคุณต้องหาโปรแกรม Affiliate ที่อนุญาตให้คุณใช้โฆษณา Google ได้ คุณต้องสร้างหน้าเพจโบนัสสำหรับตัวโปรดักก่อน ซึ่งมันจะมีหน้าที่ช่วยคุณในการแจกโบนัสผ่านลิงค์ Affiliate ของคุณ"
สร้างหน้าเว็บโบนัส
ขั้นตอนต่อไป คุณต้องสร้างหน้าเว็บโบนัสสำหรับแต่ละโปรแกรม Affiliate หรือโปรดักที่คุณต้องการโปรโมต และสร้างช่องทางการขายในหน้าเว็บโบนัสนี้ด้วยเลย หนึ่งในความลับที่จะทำให้ได้รับผลลัพธ์อันน่าทึ่งก็คือ การใช้ช่องทางขายและมี ClickFunnels เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับวัตถุประสงค์นี้
ด้วยการทำงานกับ Clickfunnels คุณจะสามารถสร้างช่องทางขายสำหรับโปรแกรม Affiliate ทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดายมาก
แพลตฟอร์ม One Funnel Away Challenge ของคุณรัสเซล บรันสัน (Russel Brunson) เป็นตัวอย่างของการขายพร้อมมีโบนัส
คุณควรใช้การออกแบบที่ดูดีและน่าสนใจ ซึ่งจะบ่งบอกถึงโปรแกรมของคุณอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับข้างต้น
นอกจากนี้คุณควรมีส่วนลดที่แสดงบนหน้าเว็บที่คล้ายกับวิธีที่ใช้แสดงด้านบน ซึ่งมีการลดราคา $3,126 ลดไป $100 เคล็ดลับเหล่านี้จะทำให้ช่องทางของคุณดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมากไปยังหน้าเว็บโบนัสของคุณอีกด้วย คุณสามารถมีโบนัสให้เลือกได้สูงสุด 5 แบบในหน้าเว็บโบนัสของคุณ เช่นเดียวกับตัวอย่างด้านล่างนี้ (ด้านล่างมีตัวอย่างโบนัสเพียงสองแบบ)
Bonus 1:
รัสเซลแจกหนังสือดิจิตอลที่มีเนื้อหา 550 หน้าเพื่อส่งเสริมชาแลนจ์ของเขา และเขาได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่คุณควรทำตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 30 ในโบนัสแรกของเขา
นอกจากนี้แล้ว ในส่วนด้านล่างของทุกๆโบนัส ควรมีปุ่ม CTA เพื่อให้กดเข้าร่วมในชาแลนจ์นี้ เพิ่มปุ่ม CTA ที่ด้านล่างของทุกๆโบนัส เป็นวิธีในการดึงดูดผู้เข้าชมของคุณเป็นอย่างดี หลังจากนั้นคุณควรใส่คำอธิบายรับรอง เช่นเดียวกับที่คุณรัสเซลทำ
Bonus 2:
โบนัสที่สองที่คุณรัสเซลแจก ก็คือกลุ่มของสมุดแบบฝึกหัดดิจิทัลแบบ "หน้าเดียว" จำนวน 20 เล่มสำหรับชาแลนจ์ของเขา
ปุ่ม CTA จะอยู่ด้านล่างของโบนัสครั้งที่สอง และคำอธิบายรับรองก็จะถูกเพิ่มเข้าไปด้วยเช่นกัน คำอธิบายรับรองบางส่วนที่เพิ่มไว้ในโบนัส 2 ก็ยังจะแสดงไว้ที่ส่วนด้านล่างอีกด้วย
Email Marketing
ขอแนะนำให้คุณตั้งค่าโปรแกรมของอีเมลแบบเลือกใช้ในหน้าเว็บที่คุณจะสร้างฐานข้อมูลอีเมลของคุณ การตลาดทางอีเมลนี้จะมีประสิทธิภาพมากในการเพิ่มปริมาณการเข้าชมไปยังหน้าโบนัสของคุณ และจะทำงานควบคู่ไปกับ Google Ads ที่ใช้ในแคมเปญด้วย
คุณสามารถใช้ Mailchimp เพื่อทำให้ระบบอีเมลของคุณเป็นให้เป็นแบบอัตโนมัติได้
การแจกโบนัสของคุณควรจะสอดคล้องกับโปรดัก Affiliate ที่คุณกำลังโปรโมต มิฉะนั้นผู้เข้าชมส่วนใหญ่จะปฏิเสธมัน และพยายามที่จะทำให้ตัวโปรดักนั้นขาดเสน่ห์ที่จะดึงดูดได้
Google Ads
ประโยชน์หลักของการใช้ Google Ads คือจะช่วยให้โฆษณาอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาของ Google โดยจะอยู่เหนือผลการค้นหาที่ไม่ต้องชำระเงิน ต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างโฆษณาแบบชำระเงินที่ด้านบนของหน้าผลการค้นหา
ในตัวอย่างด้านบนโฆษณา shopinspect จะปรากฏที่ด้านบนของหน้าแรกของผลการค้นหา เมื่อพิมพ์คีย์เวิร์ด "shopinspect" วิธีพิมพ์ใช้ shopinspect (ตามด้วยชื่อแบรนด์) เป็นคีย์เวิดที่จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่มีความคุ้นเคยกับโปรดักอยู่แล้ว โดนที่ลูกค้าเหล่านี้ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะซื้อโปรดัก แต่พวกเขากำลังค้นหาโปรดักนั้นทางออนไลน์อยู่แล้ว คุณยังไม่ต้องการเริ่มกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่ไม่รู้จักโปรดัก มิฉะนั้นคุณจะเสียเงินเยอะเกินไปในการทำการตลาดโฆษณาของ Google คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อประโยชน์ตัวคุณเอง เพราะคุณกำลังใช้เงินในกระเป๋าไปกับค่าโฆษณา เมื่อผู้เข้าชมมาถึงหน้าโบนัสของคุณ ข้อเสนอของคุณจะชักชวนให้ผู้เข้าชมซื้อผ่านลิงค์ Affiliate ของคุณ โบนัสที่คุณมอบให้นั้น จะทำให้คุณมีรายได้แซงนักการตลาด Affiliate คนอื่นๆที่กำลังโปรโมตโปรดักเดียวกันกับคุณอยู่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่โบนัสควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขาย ยิ่งคุณเสนอโบนัสมากเท่าไหร่ ก็จะมีผู้เข้าชมที่ดีและมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะซื้อโปรดักผ่านลิงค์ Affiliate ของคุณ
การตั้งค่า Google Ads
ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google Ads ของคุณและสร้างชื่อที่น่าสนใจสำหรับโฆษณาแบนเนอร์ของคุณ ต่อไปนี้เป็นชื่อของโฆษณา Google ด้านบน: Shopinspect.com - ค้นหาโปรดักที่เป็นไวรัล - "เริ่มต้นใช้งานฟรี"
สร้างแคมเปญใหม่เพื่อโปรโมตโปรดัก หรือโปรแกรมของคุณ จากนั้นในแคมเปญให้ยกเลิกการทำเครื่องหมายที่ปุ่มเครือข่ายการแสดงผล คุณสามารถตั้งงบประมาณรายวันได้ตั้งแต่ $20 ถึง $50 ขึ้นอยู่กับโปรดัก แต่อย่าลืมคำนึงถึงจำนวนการเข้าชมด้วยเมื่อได้ตัดสินใจเกี่ยวกับงบประมาณรายวันของคุณแล้ว คุณอาจต้องการทำการทดลองตัวแคมเปญโดยใช้เวลาหนึ่งเดือน เพื่อกำหนดงบประมาณรายวันที่เหมาะสมที่สุด หลังจากนั้นคุณควรระบุว่า คุณต้องการให้การเสนอราคาของคุณเป็นแบบ "การคลิก" หรือ "การคลิกสูงสุด" สร้างกลุ่มโฆษณาสามกลุ่มสำหรับตัวแคมเปญโดยใช้ "การจับคู่แบบตรงคีย์เวิร์ด" "การจับคู่วลีกับคีย์เวิร์ด" และ "การจับแบบวงกว้างที่ตรงคีย์เวิร์ด" ในแต่ละกลุ่ม คุณควรป้อนชื่อแบรนด์ที่คุณกำลังโปรโมตเป็นคีย์เวิร์ดด้วยตนเอง
สรุปการตั้งค่า Google Ads
2.พิมพ์หัวข้อและคำอธิบายของคุณ
3.งบประมาณรายวัน - $20-$50
4.การเสนอราคา — การคลิก หรือ การคลิกสูงสุด
5.สร้างกลุ่มโฆษณา 3 กลุ่ม
6.ป้อนคีย์เวิร์ดด้วยตนเอง
คีย์เวิร์ด: ชื่อแบรนด์หรือโปรดักที่คุณกำลังโปรโมตอยู่ เช่น Shopinspect.
การจับคู่แบบตรงทั้งหมด - [shopinspect]
การจับคู่วลี — "shopinspect"
การจับคู่แบบกว้าง — shopinspect
7.โฆษณา Google ที่ตั้งค่าด้วยงบประมาณของแคมเปญรายวัน $20
ค่าใช้จ่ายรายเดือนและรายรับ
ค่าใช้จ่ายสองอย่างหลักๆก็คือ ClickFunnel และ Google Ads แม้ว่าการเป็นสมัครสมาชิกพื้นฐานใน ClickFunnel จะเพียงพอแล้ว แต่ว่าก็ยังมีตัวเลือกของสมาชิกระดับแพลทินัมที่จะมีค่าใช้จ่ายเพียง $297 ซึ่งดูๆแล้วเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก อย่างไรก็ตามตัวเลือกของสมาชิกระดับแพลทินัม อาจไม่จำเป็นต้องใช้สำหรับการโปรโมตโปรแกรม Affiliate ออนไลน์ เว้นแต่จะใช้สำหรับโปรแกรมอื่นๆ ค่าใช้จ่ายอื่นๆรวมถึงค่าอินเทอร์เน็ต เว็บโฮสติ้ง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆสูงสุด $50
ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ภายใต้รายได้ของ Affiliate เฉลี่ยรายได้ต่อเดือนสามารถทำได้อยู่ที่ $2,249.23 ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็จะมีรายได้ $1,502.23 ต่อเดือน หากคุณสังเกตเห็นว่า จากการเพิ่มงบประมาณรายวันนั้นทำให้อัตราคอนเวอร์ชั่นสูงขึ้นด้วย คุณควรจะไปให้ไกลกว่าช่วงที่กำหนดไว้ในบทความนี้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเพิ่มงบ Google Ads รายวันของคุณเป็น $60 ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณจะเท่ากับ $1,947.00 และรายได้ต่อเดือนของคุณจะเท่ากับ $4,506.69 ในกรณีนี้คุณจะใช้จ่ายงบประมาณ Google Ads หมดไปเพียง $3,000 ในเวลา 5 เดือนซึ่งฟังดูดีมากเลยใช่มั้ยล่ะ ส่วนรายได้ของคุณรวม 5 เดือนแล้วก็จะเป็น $22,533.45 ด้วยเหตุนี้ คุณจึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพหน้าโบนัสของคุณต่อไป ในขณะที่ต้องหาวิธีเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมที่คุณมีด้วย เมื่อคุณเพิ่มงบประมาณ Google Ads รายวันของคุณ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอัตราคอนเวอร์ชั่นของคุณยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม
สรุป
การโปรโมตแบรนด์ที่ทำกำไรได้ด้วยค่าคอมมิชชั่น 25% ในงบประมาณ Google Ads รายวันที่ $20 ถึง $50 จะเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากๆ นอกจากนี้โปรดักควรได้รับการโปรโมตในหน้าเว็บโบนัสที่ออกแบบมาด้วย ClickFunnels แนวคิดหลักๆก็คือ การกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่คุ้นเคยกับโปรดักอยู่แล้ว จากนั้นจึงชักชวนให้พวกเขาซื้อผ่านลิงค์ Affiliate ของคุณ โดยการเสนอโบนัสสัก 2 ถึง 5 แบบ โดยวิธีนี้ คุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอได้เลย หากคุณใช้จ่ายเงินในการทำการตลาดด้วยงบประมาณรายวันอยู่ที่ $20 ซึ่งราคานี้ไม่แพงหรอกนะ เพราะมันจะสร้างผลกำไรซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเหนือวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา แม้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหานั้น จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่มันก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยในการเริ่มสร้างรายได้ให้กับคุณ