วันนี้เราจะมาแชร์กรณีศึกษาของเว็บมาสเตอร์ ผู้ที่สามารถสร้างและทำให้เว็บไซต์ Affiliate เติบโตจนสร้างกำไรให้กับเขาถึง $200,000/เดือน ในกรณีศึกษานี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าเขาเริ่มต้นทำเว็บไซต์ได้อย่างไร และกลยุทธ์อะไรที่เขาใช้ในการสร้างรายได้
หมายเหตุ: ทางเว็บมาสเตอร์ขอเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและชื่อของเว็บไซต์ เพื่อหลีกเลี่ยงคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม เราจะมาแชร์กลยุทธ์แต่ละเม็ดที่ทำให้เขามีรายได้ถึง $200,000/เดือน
เบื้องหลังของเว็บไซต์
เว็บมาสเตอร์เริ่มต้นทำเว็บไซต์นี้ในปี 2016 เพียงเพื่อแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์ให้กับธุรกิจออฟไลน์ของเขา เขาเขียนไว้ประมาณ 15 บทความ โดยทั้งหมดเป็นบทความประเภท How to ในงานอดิเรกต่อธุรกิจของเขา แล้วปล่อยทิ้งไว้ โชคไม่ดีที่ธุรกิจไปไม่สวยจนต้องปิดตัวลง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเว็บไซต์อยู่
เวลานั้นเขาสังเกตเห็นว่ามี Traffic มายังเว็บไซต์พอดี เขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างรายได้ด้วยโฆษณาของ AdSense และ Amazon Associates แล้ว Traffic ก็เริ่มโตขึ้นทุกเดือน โดยพุ่งสูงขึ้นเป็นเส้นตรงตามบทความที่เขาเพิ่มเข้ามาในเว็บไซต์
เขาคิดคอนเทนต์ออกมามากมายใน Niche ของตัวเอง โดยสร้างช่อง YouTube และเริ่มสร้างรายได้กับ Traffic ที่หนาแน่นผ่านลิงก์ของ Amazon ช่วงปี 2020 เว็บไซต์มีชื่อเสียงมากขึ้นใน Niche นั้น และเริ่มก่อตั้งเป็นแบรนด์ออกมา เขามองเห็นโอกาสที่จะเปิดตัวสินค้าที่ตรงกับ Niche บน Amazon และ Shopify และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ
ล่าสุดในปี 2021
ล่าสุด เว็บไซต์ทำเงินไปแล้วกว่า $5,000,000 ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2016 ในเดือนเมษายน ปี 2021 เว็บไซต์ทำเงินได้มากกว่า $204,514 จากแพลตฟอร์มที่เชื่อมการสร้างรายได้ไว้ทั้งหมด
Amazon FBA
ย้อนกลับไปในปี 2017 สินค้าใน Niche ของเขากำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่ทว่าแทบไม่มีการแข่งขันกันในด้านของคุณภาพเลย มีแบรนด์ใหญ่หลายแบรนด์ที่สามารถครองตลาดได้หากพวกเขาต้องการ ทว่าโชคดีที่พวกเขามองเห็นเป็นธุรกิจที่เล็กเกินไป จึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไร
ทำให้เขามีโอกาสก่อนใครเพื่อนในหมวดหมู่นี้ บน Amazon โอกาสนี้หมายถึงเสียงรีวิว, การจัดอันดับ และแน่นอน ยอดขาย หลังจากที่สินค้าตัวแรกประสบความสำเร็จ เว็บมาสเตอร์ก็ปล่อยสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่องในหมวดหมู่ที่คล้ายกัน และสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้เขามีรหัสสินค้า (SKU) อยู่ถึง 16 ตัว ที่ประสบความสำเร็จแตกต่างกันไป สินค้าตัวแรกที่เขาเปิดตัวไป ยังทำยอดขายได้ถึง 40% จากยอดขายทั้งหมด
ความท้าทายของ Amazon FBA
เมื่อก่อน Amazon FBA เหมาะสำหรับเริ่มต้นสินค้าที่เน้นความเสี่ยง แต่บอกตามตรงว่า 4 ปีที่ผ่านมา มีอะไรก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ยิ่งการแข่งขันที่เรียกได้เลยว่าดุเดือดเลือดพล่านมาก
มีของเลียนแบบนับร้อย และสินค้าเปิดตัวใหม่ทุกวันไม่ขาดสาย นี้ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด ถ้าเกิดว่าเขามาเริ่มใหม่อีกทีตอนนี้ ต้องลำบากกว่าเดิมแน่นอน เพราะปัจจุบันคุณต้องจ่ายเงินถึง $100,000 ให้กับการโฆษณาแบบจ่ายตามจำนวนคลิก (PPC) เพื่อให้ติดอันดับที่สูงพอตัว ต่อให้เป็นอันดับที่เกิดขึ้นเองบน Amazon ก็สู้พวกอันดับสูงที่ต้องจ่ายหนักไม่ได้อยู่ดี
ล่าสุดเว็บมาสเตอร์ต้องจ่ายถึง $30,000/เดือน ให้กับโฆษณาแบบ PPC และค่าใช้จ่ายก็มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ นี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินสร้างแบรนด์แยกตัวออกมาจาก Amazon ในปี 2019 และเลือกสร้างเว็บไซต์ของตัวเองบน Shopify
Shopify
การเลือกขายบนเว็บไซต์ของตัวเองนั้นยากยิ่งกว่าการสร้างอีก แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ต่อไปได้ในระยะยาว ข้อดีคือ เขาไม่ต้องเสี่ยงว่า Amazon จะ Rug Pull ไหม แถมยังสามารถติดต่อกับลูกค้าได้อย่างอิสระ ทำให้จัดการเรื่องของลูกค้าได้ง่ายขึ้น
ด้วย Shopify เขาสามารถมอบประสบการณ์ดี ๆ ให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอน หากลูกค้าประทับใจ ก็ต้องอยากซื้อเพิ่มขึ้น และบอกต่อให้กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
Shopify ยากเกินไปสำหรับเขา เขาสร้างเวอร์ชันแรกขึ้นมาด้วยตัวเองจนสำเร็จ แต่เพื่อให้เว็บไซต์ไปไกลกว่านี้ เขาลงทุนจ้างนักพัฒนา, นักเขียนคอนเทนต์ และบริษัทในการสร้างแบรนด์ เขายังต้องจ่ายค่าแอปพลิเคชันและบริการเสริมทั้งหมดในส่วนของ Shopify เช่น:
คาดว่ารายได้ Shopify ของเขานั้นมีมากกว่าที่เคยได้จาก Amazon ในเวลาไม่กี่เดือน ทว่าเขาไม่สามารถออกจาก Amazon ได้อย่างถาวร เพราะยังมีลูกค้าบางส่วนที่ไม่คิดจะย้ายไปไหน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
Amazon Associates
แต่เดิมตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจ และปัจจุบันขยายไปมากซะจนเขาไม่สนใจอีกแล้ว แต่ก็ยังมียอดขายจากบทความที่เขาเขียนไปเมื่อ 4 ปีก่อน หนึ่งสิ่งที่เว็บมาสเตอร์ยังคงทำอยู่ก็คือ การใช้ลิงก์ Affiliate กับสินค้าของตัวเองบน Amazon
ในเดือน มกราคม ปี 2021 เขาได้สร้างโปรแกรม Affiliate ของตัวเองขึ้นมา โดยเขาจ่าย Affiliate เพื่อให้โปรโมตสินค้าบนเว็บไซต์ของเขา เขาใช้ Shareasale สำหรับโปรแกรม Affiliate และดูท่าว่าจะใช้งานได้ดีเกินคาด ทำให้ตอนนี้เขามีลูกค้าใหม่ ๆ และ Affiliate ก็ได้รับเงินทุกครั้งเวลาลูกค้าซื้อของ
เขาจ่ายค่าคอมมิชชัน 10-25% แก่ Affiliate ซึ่งดีกว่า 1-3% ที่ Amazon จ่าย
YouTube
ถึงรายได้จาก YouTube จะน้อย แต่ตัวแพลตฟอร์มนั้นมีบทบาทสำคัญมากสำหรับการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต เพราะมีผู้คนมากมายที่ค้นหาข้อมูลของแบรนด์ผ่าน YouTube จนกลายมาเป็นลูกค้าในที่สุด
หนทางที่ใช่ วิ่งไปข้างหน้า
เว็บมาสเตอร์มีแผนที่จะขยายช่องทางการขายของเขา เพื่อแบ่งขายจาก Amazon และ Shopify การแบ่งขายจะทำให้มีลูกค้าเยอะขึ้น แต่ก็อาจแพงและเสี่ยงมากเช่นกัน ปัจจุบันตอนนี้สินค้าของเขามีร้านค้าปลีกอยู่ประมาณ 12 ร้าน แต่สำหรับธุรกิจของเขาถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ
การสร้างทีม
ปัจจุบันเขามีอยู่สามทีม แต่มีแผนจะขยายออกไปอีกในอนาคต การสร้างทีมและระบบถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลให้บริษัทมีรายได้ถึง $300,000/เดือน และเพิ่มขึ้นไป ในเวลาไม่กี่เดือนเขาก็สามารถหาได้ถึงเกือบ $300,000 ในขณะที่ Amazon กำลังหัวหมุนในช่วงเดือนมีนาเมษาของปี 2020 แต่เริ่มจะสุดทางแล้ว ตอนนี้แผนหลักของเขาคือ การมีธุรกิจที่สร้างรายได้ถึง $1,000,000/เดือน และเขาเชื่อว่ามีทางเป็นไปได้ เว็บมาสเตอร์นึกภาพตัวเองที่กำลังจ้าง CEO และสร้างทีมใหญ่ให้โตขึ้น เพื่อที่เขาจะได้หันมาสนใจในเรื่องความสัมพันธ์ และสิ่งอื่น ๆ
สรุป
การสร้างเว็บไซต์สำหรับ Niche แบบนี้ อาจต้องใช้เวลานานอยู่ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า กรณีศึกษานี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความล่มแล้วลุกกับความไม่ย่อท้อของเว็บมาสเตอร์ เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาได้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ จาก 0 ในปี 2016 จนไปถึงเกือบ $200,000/เดือน ในปี 2021
สำหรับเขา ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการหา Niche ที่เหมาะสมและอยู่ไปกับมัน ตั้งใจสร้างคอนเทนต์ หา Traffic และขยายช่องทางการสร้างรายได้ไปเรื่อย ๆ
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาสามารถสร้างราคาของอสังหาริมทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ จนตอนนี้เขามีแผนที่จะเพิ่มรายได้จากเดิมให้กลายเป็น $1,000,000/เดือน