วันนี้เราจะมาแบ่งปันประสบการณ์ที่น่าสนใจของ Davie Fogarty เขาเป็นเจ้าของแบรนด์ Oodie ที่หลายคนรู้จักกันดี โดยที่เขาสามารถทำเงินจาก $0 - $150,000,000 ภายในเวลาเพียง 3 ปี เดวี่เองยังเป็นที่รู้จักกันดีในธุรกิจพานิชกรรมออนไลน์ e-commerce อีกสองสามแบรนด์ ที่สร้างเม็ดเงินประจำปีให้กับเขาเป็นพันล้านดอลล่าร์ต่อปี
เดวี่เริ่มเข้าสู่ตลาดออนไลน์เมื่อตอนที่เขาออกจากโรงเรียนใหม่ๆ ในตอนนั้นเขาสามารถแฮ็คบัญชีอิสตาแกรมที่มียอดคนติดตามถึง 600,000 คน เขาใช้เวลาศึกษาการทำงานของระบบอัลกอลิธึ่มที่อยู่เบื้องหลังแพล็ตฟอร์มของสื่อโซเชี่ยลว่าใช้งานอย่างไร
เขาก็เริ่มต้นจากการไขว้เขว การล้มเหลวในด้านแนวคิดธุรกิจเหมือนกับเจ้าของกิจการวัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วไป และก็มีหลายธุรกิจที่ล้มเหลวอย่างเช่น ธุรกิจด้านเสื้อผ้าใส่ไปยิม หูฟังของและเคสโทรศัพท์ Iphone การเปิดสอนเทรนด้านธุรกิจ ธุรกิจเครื่องเทศ แต่ที่ล้มเหลวที่สุดก็จะเป็นร้านอาหารเวียดนาม
ขณะที่เขากำลังศึกษาวิศวกรรมการตลาดและวิศกรรมเหมืองแร่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเลิกเรียนหลังภาคการศึกษาแรก จากนั้น เดวี่ก็ได้ก่อตั้งบริษัทตัวแทนด้านการตลาดในฐานะผู้ประกอบการเดี่ยว เพราะเขาต้องการเรียนรู้วิธีของการตลาดแบบองค์รวมมากกว่าการเป็นพวกนักแฮ็กข้อมูล ซึ่งเป็นการตลาดออนไลน์ที่ไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้เลย
เขาเรียนรู้วิธีการถ่ายวิดีโอโฆษณา วิธีการทำงานของโฆษณาบน Facebook และวิธีการสร้างเว็บไซต์การแลนดิ้งเพจ landing page และการยิงเนื้อหา พวกเขาสร้างเว็บไซต์ของเขาเอง และจากนั้นก็ดำเนินการโฆษณา ซึ่งในตอนแรก เขาทำทั้งหมดนี้แบบไม่รับค่าจ้าง เพียงเพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้ทักษะ เพื่อให้เข้าถึงธุรกิจมากมาย
เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก และคิดที่จะสร้างตัวแทนการตลาดแบบเต็มรูปแบบและก็เริ่มจ้างคน แต่อย่างไรก็ตาม เขาได้เปลี่ยนการตัดสินใจและเลือกที่จะไปทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซแทนที่จะเป็นตัวแทนการตลาด เขาสร้างแบรนด์อี-คอมเมิร์ซ 2 แบรนด์ อย่าง Shopify คือ The Ooodie และ Calming Blankets ในปี 2018
ในขณะที่ธุรกิจ e-commerce ของเขาดำเนินอยู่นั้น เดวี่เองก็ได้สร้างความสัมพันธุ์กับตัวแทนต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตจากโรงงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหล่าตัวแทนต่าง ได้เสนอไอเดียสินค้าส่งให้เขามากมายเป็นร้อยๆ โรงงานในแต่ละสัปดาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่คุณบอกให้เขารู้อย่างแน่ชัดว่าคุณมีความตั้งใจอยากจะขายอะไร
"ในตอนนั้น แบรนด์ของผมทั้งหมดเริ่มต้นในหลายวิธีที่แตกต่างกันมาก ผมคิดว่าสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำตอนนี้ คือต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเมื่อคุณคิดไอเดียอะไรออกมา สิ่งที่ต้องมอง คือปัญหาที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข อย่างเว็บไซต์อาลีบาบาเป็นเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ จะเริ่มดูว่าผลิตภัณฑ์ใดมีการจำหน่ายไปแล้วบ้าง" เดวี่กล่าว
ตอนที่เดวี่เริ่มสร้าง The Oodie เขาพึ่งจะปล่อยสินค้าออกมาด้วยสีพื้นๆ และเขารู้สึกตื่นเต้นมาก ที่สินค้าของเขาจะได้อยู่ในตลาดเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เขาให้เพื่อนและครอบครัวของเขาเป็นแบบสวมใส่ออดี้ในวันที่อากาศหนาวเย็น เขาได้ถ่ายรูปและวิดีโอใว้มากมาย เพื่อเอาไปอัพโหลดในธีมของ Shopify อีกด้วย
เขาเขียนคำโฆษณาเอง โดยอ้างอิงมาจากหนังสือการตลาดสองเล่มที่เขาเคยอ่าน เพื่อให้แน่ใจว่าคำโฆษณาว่าจะไม่เหมือนกับในหนังสือ จากนั้นเขาก็เริ่มปล่อยโฆษณาบน Facebook และเขาก็ขายสินค้าได้เป็นวันแรก เขาจัดการแพ็คสินค้าเองในโกดังของเขา รวมถึงการบริการลูกค้าเองด้วย หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มจัดสรรเวลาที่จะทำ Claming Blanket อีกด้วย
หลายเดือนหลังจากที่ทำงานอย่างหนัก เดวี่ก็เริ่มตัดสินใจที่จะจ้างผู้ช่วยมาช่วยงานเขา ซึ่งนั่นก็คือพี่ชายของเขาเองและก็ยังคงทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ พี่ชายของช่วยเรื่องการแพ็กสินค้าของลูกค้าเมื่อมีออร์เดอเข้ามา รวมถึงบริการลูกค้าด้วย “ผมยังจำได้ดีถึงตอนที่มีรายการสินค้าอย่าง Oodie และ Claming Blanket อยู่เต็มห้องเพื่อรอให้ไปรษณีย์ออสเตรเลียมารับไปส่งลูกค้า”
การที่แบรนด์จะเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น เดวี่มองเห็นสี่ปัจจัยที่สำคัญคือ
“ผมยังจำได้ตอนที่จัดทริปไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อนๆ ได้คิดแบบออกแบบของ The Oodie ในทุกวันช่วงเช้า จนได้ขายมาถึงทุกวันนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปในตอนนั้น ผมคิดว่า The Oodie ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะพวกเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ลูกค้าของเรามีความสุขที่สุดเท่าที่จะสุขได้ เรามีโอกาสหลายครั้งมากที่จะใช้ของที่ไม่ดี แต่เราก็ไม่คิดที่จะทำ เพราะเราอยากให้สินค้าของเรานุ่มที่สุดสบายที่สุดและรู้สึกอบอุ่นทีสุดในโลก”เดวี่อธิบาย
เดวี่ไม่ได้สั่งสินค้าส่งมาจากประเทศจีนโดยตรงให้กับลูกค้าของเขา เพราะมันจะทำให้ลูกค้าต้องรอสินค้านานเกินไป และบางครั้ง ลูกค้าก็อาจจะได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพแม้จะราคาถูก หรืออาจจะได้ของเลียนแบบที่คุณภาพต่ำมากๆ ก็เป็นได้
"ผมคิดว่าสิ่งที่ดีเกี่ยวกับธรรมเนียมของบริษัทพวกเราคือ การเห็นอกเห็นใจต่อลูกค้าเวลาที่เขาได้สิ่งที่ไม่สมควรได้ เราจึงได้จัดเตรียมสินค้าคุณภาพดีเยี่ยมให้กับลูกค้าของเรา เราแค่อยากให้ลูกค้ามั่นใจว่าพวกเราใส่ใจในคุณภาพมากแค่ไหน มีเรื่องหนึ่งที่นึกขึ้นมาได้ นั่นก็คือตอนที่เกิดเหตุการณ์ Brexit เรามีออเดอร์สินค้าติดค้างอยู่ที่ขนส่งเป็นพันๆ รายการ และเราก็ไม่สามารถส่งของให้ลูกค้าได้ทันเทศกาลคริสมาสเหมือนกับที่เราได้สัญญากับลูกค้าใว้ตอนแรก ทำให้สำนักงานของเราเสียหายอย่างมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้เราเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงผลกำไรระยะสั้นเมื่อเทียบกับความพึงพอใจของลูกค้าในระยะยาว” เดวี่กล่าว
ปัจจุบันนี้ เดวี่และบริษัทของเขาเลือกลูกค้ามาเป็นอันดับที่หนึ่ง
นอกจาก The Oodie แล้ว เดวี่ได้ทำแบรนด์สินค้าอย่างอื่นอีกด้วย แบรนด์ที่เขาทำมีดังนี้:
ในขณะที่เขาทำ The Oodie เดวี่ก็ได้ทำ Claming Blankets ควบคู่ไปด้วยในตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะได้กำไรมกกว่า The Oodie ซะอีก ซึ่งเขาก็ใช้วิธีเดียวกันกับที่ทำ The Oodie
“เดวี่กล่าวว่า เมื่อคุณมีแบบที่ใช้ได้แล้ว ก็แค่ให้ใช้แบบนั้นวนไป ผมยังใช้เพื่อนและครอบครัวถ่ายแบบโฆษณาแล้วก็ปล่อยบน Shopify และ Facebook อาจจะบางส่วนที่ไม่ใช่ส่วนที่ชอบที่สุด แต่สำหรับ Claming Blankets นั้นเป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นหลักมานานแล้ว เพราะว่าให้ผลตอบแทนที่มากกว่าเงินหลายเท่า นั่นก็คือการช่วยให้การหลับของมนุษย์มีการพัฒนาในการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพด้วยพฤติกรรมการสัมผัส ผมได้เรียนรู้อย่างมากเกี่ยวกับเด็กออทิสติกเมื่อตอนที่ได้ปล่อยสินค้าตัวนี้ออกไป และผมคิดว่าสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดนั้นก็คือการบริจาคผ้าห่มของเราให้กับโครงการศิลปะคนพิการในเมือง เอดิเลดของผม”
เดวี่ กำลังเปลี่ยน Claming Blankets ให้เป็นธุรกิจ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยพัฒนาการนอนหลับของมนุษย์ ทีมงานทีนั่นมีสินค้าที่ยอดเยี่ยมที่พร้อมจะส่งให้ทุกคนได้ใช้อย่างประทับใจ
เป็นสินค้าอีกตัวหนึ่งที่ได้ปล่อยออกไป หลังจากที่เปิดตัว Calming Blankets และ The Oodie นั่นก็คือ Australian Furniture Warehouse เขาเปิดตัวสินค้าพวกนี้กับพ่อแม่ของเขา เพราะพ่อแม่ของเขาทำงานด้านเฟอร์นิเจอร์มานาน
หลายคนมองว่า งานเฟอร์นิเจอเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่พวกเรามองเห็นเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้งานออกมาสนุกและน่าตื่นเต้น เราจะซื้อสินค้าที่เป็นที่นิยมที่สุดและดีที่สุดเป็นจำนวนมากมาใว้ที่โกดังใหญ่ของเราและทำการเปิดขายที่นั่น เราจะเปิดแค่ไม่กี่ชั่วโมงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อันนี้ก็จะช่วยประหยัดพนักงานและลดต้นทุนในวันข้างหน้าอีกด้วย ทำให้เรามี่ค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าคู่แข็งมาก ผมยังจำได้ถึงตอนที่คนในละแวกนี้ต่อแถวยาวประมาณ 300 คน พร้อมจะมาต่อรองซื้อสินค้า ครั้งหนึ่งพวกเราขายผ้าห่มที่นั่น และมีประมาณ 100 คนรุมซื้อกันไปเกลี้ยงเหลือแต่พาเลทเลย พวกเขาแย่งกันดึงเสื้อผ้ากันจนขาดเพื่อให้ได้มาต่อแถวซื้อสินค้า ช่างเป็นเหมือนกับการขาย Black Friday ในทุกๆ เดือนเลย”
แต่เนื่องด้วยวิกฤตการของ Covid-19 เดวี่ต้องปรับตัวอย่างจริงจัง เนื่องจากไม่อยากให้กลุ่มคนจำนวนมามาแอดอัดเหมือนกับที่แบรนด์ AFW ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้แบรนด์ AFW ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการมุ่งไปขายออนไลน์ นั่นก็เป็นจุดแข็งของแบรนด์เขา เดวี่ส์เชื่อว่าเขาสามารถรับบทเป็นผู้ขายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุด และจัดหาเฟอร์นิเจอร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมจำหน่ายให้ลูกค้าในราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เดวี่ส์ได้เริ่มทำสินค้าตัวนี้กับเพื่อนสนิทหลังจาก 2 ปีที่ปล่อยสินค้าเสื้อผ้าห่มอย่าง The Oodie และผ้าห่มที่นุ่มสบายอย่าง Claming Blankets เดวี่ส์ได้มองเห็นโอกาสตอนเมื่อตอนทดสอบและตรวจสอบประสิทธิภาพตอนปล่อยโฆษณาผ่าน Shopify และ Facebook
เดวี่ กล่าวว่า “เมื่อตอนที่เราได้มอบสินค้าเหล่านี้ให้กับเจ้าของสุนัขทั้งหลาย ทุกคนรู้สึกทึ่งเล็กน้อยที่เห็นว่าสุนัขของพวกเขาชื่นชอบผลิตภัณฑ์มากแค่ไหน เมื่อตอนที่พวกเรากับเพื่อนๆ ไปถ่ายภาพ เห็นสุนัขคลานไปที่เบาะที่นอนสำหรับสัตว์เลี้ยง แล้วก็ไม่ยอมลุกออกมาจากเบาะที่นอนหลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้ว และครั้งนี้อีกเช่นกันกับผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ ที่พวกเรายังไม่หยุดที่ต้องการทำให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีเยี่ยมอีกเช่นเคย ซึ่งก็ได้มีบริษัทลอกเลียนแบบสินค้าของเราสั่งผลิตภัณฑ์คุณภาพต่ำจากจีนออกมาขายมามากมาย เราตั้งใจว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเลยตัดสินใจติดต่อกับผู้ให้บริการด้านขนส่ง 3PLs เพื่อสร้างความประทับใจให้กับประสบการ์ของลูกค้าให้ดีที่สุด และแบรนด์นี้ทำเงินให้เราเร็วมากถึง $1.000.000 ต่อเดือน หลังจากเปิดตัวได้แค่ 6 เดือน ซึ่งน่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดของเราที่เคยมีมา”
เดวี่ให้คำแนะนำผู้ประกอบการว่า ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเงิน 0 ดอลล่าร์ ก็ให้เริ่มเรียนรู้ทักษะก่อน และคุณจะได้ใช้ทักษะในการขายเหล่านั้นเมื่อตอนที่คุณเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ทักษะหลักๆ ที่คุณต้องมีคือ :
แบรนด์สินค้าที่เราได้กล่าวมาของเดวี่ ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งหมดตั้งแต่ริเริ่มขบวนการ และแน่นอน เขาก็เคยล้มเหลวเหมือนที่กล่าวไปข้างต้น เขายังให้คำแนะนำเสริมอีกว่า เกิดเป็นคนต้องเรียนรู้ก่อนที่จะล้มเลิก
"อย่ายึดติดกับแนวคิดมากเกินไป มันอาจจะไม่ได้ผล แต่ให้ยึดติดอยู่กับขบวนการเรียนรู้ การค้นหาว่าอะไรที่ทำแล้วได้ผล หรือคิดที่จะอยู่ในอุตสหกรรมนี้ ก็แค่เค้นหาแนวคิดออกมาทดสอบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ กำหนดความสำเร็จให้แน่ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วค่อยยึดติดกับมัน เรื่องความล้มเหลวก็เป็นสิ่งที่ดี ตัวฉันเองก็ล้มเหลวมามาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเราจะมองเห็นความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะช่วยให้เราได้สร้างความเข้าใจว่าความสำเร็จที่แท้จริงมันให้ผลอย่างไร คุณต้องมองหาผลตอบรับในเชิงบวกวนไปจนคุณสามารถขยายกิจการได้ในตอนหลัง จงมองหาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เพื่อนๆ ของคุณชอบใช้ซึ่งคุณก็รู้ว่าคุณสมารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ศึกษาข้อมูลอย่างใกล้ชิดและศึกษาการตลาดบางกรณีที่ใช้ได้ผล ที่จะช่วยนำคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง” เดวี่อธิบาย
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เดวี่วางแผนที่จะสร้างกระบวนการที่ง่าย รวดเร็ว และปราศจากความเสี่ยง และพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้การดำเนินงานทั้งหมดที่เขาจะได้ลงทุนเงินก้อนใหญ่ และคิดค้นแบรนด์ใหม่ที่เจ๋งจริง ๆ ออกมา
เดวี่กำลังเผยแพร่เนื้อหาสาระบางอย่างบนช่อง Youtube ของเขา และถ้าคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมก็สามารถติดตามเขาได้ที่ช่อง Youtube ของเขาที่ชื่อ Davie Fogarty