27 ธันวาคม 2022 0 371

Brian Casel: ข้อมูลเชิงลึก จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างและขาย SaaS 10 ธุรกิจ

คุณไบรอัน คาเซล (Brain Casel) เป็นผู้ก่อตั้งฉายเดี่ยวและนักออกแบบที่สร้างโปรดัก SaaS 13 ธุรกิจในอาชีพของเขา โดยจากที่เขาสร้างมาแล้ว ก็ได้ขายไป 10 ธุรกิจ และล้มเลิกไป 2 ธุรกิจ และยังคงใช้ดำเนินธุรกิจ SaaS อยู่ 1 ชิ้น เป็นที่รู้กันดีในวงการว่า เขามีความสามารถในการขายธุรกิจ SaaS 5 ธุรกิจที่สร้างขึ้นที่ใช้เวลาสร้างเพียง 6 เดือน รวมถึงแพลตฟอร์มชุมชนออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการที่เรียกว่า “Productize”

ปัจจุบันเขากำลังควบคุมธุรกิจ SaaS ที่เป็นเครื่องมือสำหรับส่งข้อความผ่านวิดีโอที่ชื่อว่า “ZipMessage” เครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทดแทนการประชุมด้วยการสนทนาแบบ async โดยที่คุณเองก็สามารถแชร์ลิงค์บน ZipMessage กับใครก็ได้ และพวกเขาสามารถตอบกลับวิดีโอของคุณในเบราว์เซอร์ได้ทันที

ZipMessage ได้เปิดตัวในปี 2020 และขณะนี้ก็ถึงปีที่ 2 แล้ว ด้วยกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าที่ยอดเยี่ยม คุณไบรอันได้รับเงินระดมทุนเล็กน้อยจากกองทุน Calm Fund หลังจาก 13 ปีจากที่ได้รับเงินทุนของธุรกิจก่อนหน้านี้ ZipMessage ใช้รูปแบบการสร้างรายได้ freemium ซึ่งใช้งานได้ดีในยุคนี้ โดยคุณไบรอันได้กล่าวไว้

คุณไบรอัน คาเซล (Brain Casel) เขาเชี่ยวชาญในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ SaaS, การตลาดแพลตฟอร์ม, การหาผู้ใช้, การขยายธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจ SaaS โดยในบทความนี้ คุณไบรอัน คาเซล (Brain Casel) ได้ตอบคำถามยอดนิยม ทั้งหมดที่จากประสบการณ์ตรงของเขาในด้าน และจะอธิบายทุกขั้นตอนของธุรกิจ SaaS ที่กำลังเติบโต:

  • ไอเดียของ Saas
  • SaaS MVPs และการพัฒนา
  • การตลาดและการหาผู้ใช้สำหรับธุรกิจ SaaS
  • โปรดัก SaaS และเครื่องมือ SaaS
  • การสร้างรายได้จาก SaaS
  • ขายธุรกิจ SaaS และอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณไบรอันได้ตอบคำถามสามข้อ และแถมเขายังมีข้อมูลเชิงลึกที่จะแบ่งปัน ต่อไปนี้

 

ไอเดียของ Saas

คำถาม: คุณคิดค้นไอเดีย Saas มากมายมาได้อย่างไร?

ไอเดียส่วนใหญ่แล้วก็เกิดมาจากธุรกิจก่อนหน้านี้แหละ และจากความล้มที่ผมเจอในตอนที่ทำธุรกิจด้วย ตัวอย่างเช่น ZipMessage ถือกำเนิดขึ้นในเวลาที่ผมทำด้านการสนับสนุนลูกค้าสำหรับโปรดัก SaaS ก่อนหน้านี้ และผมต้องการวิธีอื่น ๆ ที่จะส่งข้อความวิดีโอไปยังลูกค้าที่ง่ายกว่าเดิม ที่สำคัญต้องเป็นวิธีที่ไม่รบกวนเพื่อให้พวกเขาตอบสนองบนวิดีโอได้โดยไม่ต้องขอให้พวกเขาลงทะเบียนหรือบังคับให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ใด ๆ เลย ซึ่งส่วนตัวผมชอบการสื่อสารแบบ async (แทนที่จะเป็นการประชุมสด) ยังตอบโจทย์ปัญหาที่ผมพบอีกด้วย จึงกลายมาเป็น ZipMessage ในทุกวันนี้

 

คำถาม: คุณจะตัดสินเริ่มต้นกับไอเดียแบบไหน?

ในการพิจารณาว่า ตัวไอเดียที่ควรค่าแก่การติดตามดีมั้ย ผมมักจะมองหาปัจจัยเหล่านี้ก่อนเสมอ:

  • ตลาดต้องใหญ่/มีการเติบโต/กำลังเป็นเทรนด์?
  • กลยุทธ์ต้องมีความชัดเจน เพื่อทำให้ตัวเองแตกต่างจากคู่แข่งหรือไม่?
  • ผมมองเห็น ปัญหา/การแก้ปัญหา ของลูกค้าแล้วรึยัง?
  • มีตัวอย่างมั้ยว่า โปรดักประเภทนี้มีฐานผู้ใช้ที่พร้อมจ่ายค่าสมาชิกเป็นประจำจริง ๆ ในระยะเวลานานหรือไม่?
  • มีโอกาสที่จะขยายธุรกิจหรือไม่?

 

คำถาม: ตอนนี้คุณมีวิธีจัดการกับตัวเองจาก "อาการ shiny object syndrome" หรือไม่?

ผมเชื่อว่า ยิ่งมืดก็ยิ่งมองเห็นแสงสว่าง โดยไม่ว่ายังไงก็ตาม คุณก็ยังคงต้องทำงานต่อไป ดังนั้น เมื่อผมเห็นโอกาส ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องตั้งคำถามกับเราเอง ทำไมต้องเป็นตอนนี้? ฉันมาถึงจุดไหนแล้วของเป้าหมายที่ตั้งไว้?

shiny object syndrome เป็นนิสัยที่ลดความสามารถที่จะตัดสินใจว่า ควรจะปล่อยวาง (หรือหยุดไว้ชั่วคราว) สับสนกับความสนใจของคุณเองกับไอเดียที่คุณกำลังทำอยู่ โดยที่ใจของคุณไปอยู่กับไอเดียใหม่แล้ว หากเป็นความจริง คุณก็ควรจะถอยกลับไปตั้งหลักก่อน จากนั้นประเมินอีกครั้ง แทนที่จะติดอยู่กับขั้นตอนหนึ่งที่มันกินเวลาของคุณเป็นอย่างมาก

นั่นแหละ วิธีการรับมือกับอาการ shiny object ideas ในแบบของผม (ผมเองก็เป็นบ่อย) เวลามีไอเดียอื่น ๆ ผุดขึ้นมา ผมก็แค่จดมันลงในสมุดโน๊ต เพื่อที่จะเอาไอเดียที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้ออกไปจากหัว รับรองเลยว่าได้ผลจริง 99% โดยอีก 1% จะกลับมาหาผม จนกว่าผมจะทำอะไรกับพวกมันมากกว่านี้ งั้นก็ถึงเวลาตัดสินใจแล้ว

SaaS MVPs และการพัฒนา

คำถาม: คุณเคยจ่ายเงินจ้างทีมงาน เพื่อพัฒนา SaaS ตัวแรกของคุณหรือไม่?

ก่อนที่ผมจะมาทำอาชีพนี้ ผมเคยเป็นนักพัฒนา front-end มาก่อน และมีเพียงทักษะการออกแบบ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากการจ้างทีมงานเข้ามาทำงานพัฒนา back-end ทั้งหมด

ในปี 2018 หลังจากเสียเงินจ้างทีมงาน back-end ผมก็รู้สึกว่ายังไม่พอใจกับภาพรวมของสถาปัตยกรรม ผมจึงตัดสินใจลงทุนไปกับเรียนรู้เพิ่มเติมเองเลย ซึ่งผมใช้เวลาทั้งปี เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ Ruby on Rails และผมเข้าใจมันเป็นอย่างดี!

ซึ่งช่วยให้ผมสามารถสร้างโปรดัก SaaS และฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้เร็วขึ้นมาก และช่วยให้ผมกับนักพัฒนาอื่น ๆ ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และเพิ่มคุณภาพของโปรดักจากการทำงานเป็นทีม

ในวันนี้ที่ ZipMessage ผมทำงานกับบริษัทนักพัฒนาและผมทำงานด้านการสร้างโปรดักเกือบตลอดทั้งชีวิตแล้ว เราสามารถสร้างฟีเจอร์การจัดส่งและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังคงรักษาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เช่น การทดสอบอย่างรอบคอบและอื่น ๆ

คำถาม: คุณได้นำกลยุทธ์ MVP มาใช้บ้างมั้ย? ถ้าใช้ คุณใช้เวลาเฉลี่ยนานแค่ไหนในการสร้าง?

สำหรับ ZipMessage ก็ประมาณ 3 เดือน ผมเริ่มจากใช้ไอเดียเวอร์ชัน 1 ที่พร้อมสำหรับผู้ใช้รายแรก (ลูกค้ารายแรกเริ่มชำระเงินในเดือนที่ 4) วิธีการของผมตอนนี้คือ การจัดส่งโปรดักหลักให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนแล้ว จึงเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ ตามมาทีหลัง แต่อย่าปล่อยให้ผู้ใช้รอเวอร์ชันแรกนานเกินไป!

ผมคิดว่าการใช้กลยุทธ์ MVP ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก และโดยทั่วไปผมก็ไม่ชอบเขียนโค้ดเพื่อแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราวหรอก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการพัฒนา SaaS มาไกลมากแล้ว โดยเฉพาะเลยในขั้นตอนการสร้างที่รวดเร็ว

 

คำถาม: Tech Stack ของคุณมีอะไรบ้าง?

Ruby on Rails, TailwindCSS, และ StimulusJS

 

การตลาด SaaS และการหาผู้ใช้

คำถาม: หากคุณมีไอเดียทำโปรดักที่มีฟีเจอร์แปลกใหม่น่าสนใจ คุณมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ให้สามารถดึงดูดได้ผู้ใช้มาสักราย?

ขั้นตอนแรกของผม คือการสนทนากับผู้ใช้ที่ใช้โปรดักนั้น ๆ ประจำ (จะดีมากเลย ถ้าเขาจ่ายเงินสำหรับโปรดักแล้ว) เพียงถามพวกเขาว่า “ชอบ/ไม่ชอบ” จุดไหนบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังเหลือช่องว่างใดที่ไม่ได้เติมให้พวกเขาอีกบ้าง

นอกจากนี้ผมยังจะเก็บลิสต์ความสนใจล่วงหน้าไว้ด้วยที่ หน้า Landing Page หลัง เอาไว้สำหรับอธิบาย USP ในใจคุณและแบบฟอร์มลงทะเบียนทางอีเมล จากนั้นส่งอีเมลถึงผู้ใช้เหล่านั้น เพื่อให้การอัปเดตในขณะที่คุณกำลังสร้างเวอร์ชันแรกอยู่

ทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อจัดส่งเวอร์ชันแรกให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อย่าเพิ่งใจร้อนสร้างทุกอย่างขึ้นมา เพียงแค่สร้างฟีเจอร์ที่สำคัญมากสักอย่างสองอย่าง และในทุก ๆ ขั้นตอนก็คอยสื่อสารกับผู้ที่มีความสนใจ จากข้อเสนอแนะของผู้ใช้ จากนั้นแล้ว คุณก็จะทราบว่า พอที่จะเริ่มใช้งานตัวแพลตฟอร์มได้แล้วหรือยัง

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบใช้เทคนิค pre-selling เพราะว่า ผมเคยลองใช้เทคนิคนี้กับ SaaS (ที่ล้มเหลวไปแล้ว) ก่อนหน้านี้ และเป็นประสบการณ์ที่บอกจุดที่ผิดพลาดที่น่ารู้นั่นก็คือ ผู้ที่ชำระเงินล่วงหน้าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นลูกค้าเสมอไป

โดยถ้าจะให้ดีที่สุด ผมว่า เราควรมีการสนทนากับลูกค้า เพื่อถามถึงเรื่องการใช้เงินโดยเฉพาะ ("คุณจ่ายเงินไปเท่าไหร่สำหรับโซลูชันปัจจุบันของคุณ?", "คุณอัปเกรดจากแบบฟรีไปเป็นแบบจ่ายเงินตั้งแต่ตอนไหน?" ฯลฯ) คุณกำลังมองหาหลักฐานว่าบุคคลนี้และพวกเขาไม่จ่ายสำหรับการโซลูชั่น ที่คล้ายกับตัวโซลุชั่นที่คุณกำลังสร้างอยู่

 

คำถาม: กลยุทธ์การตลาดที่คุณชื่นชอบ ที่ต้องไม่เรียกร้องให้มีการติดตามทางช่อทางออนไลน์มากมาย?

ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่การสร้างเครือข่ายและการติดต่อสื่อสาร จะช่วยในช่วงขั้นตอนแรก ๆ ของการค้นหาผู้ใช้และลูกค้ารายแรก ๆ ให้กับคุณและจะสะท้อนไอเดียของคุณ

ถือว่าโชคดี แม้ว่าคุณจะไม่มีผู้ติดตามเลย แต่ก็ยังมีช่องทางต่าง ๆ เช่น r/SaaS บน Reddit, Twitter และชุมชนอื่น ๆ อีกมากมายที่จะสร้างเครือข่ายขนาดเล็กในขั้นตอนแรกของคุณเองที่คุณสามารถสร้างเองได้ นอกจากนี้ ผมยังแนะนำให้เข้าร่วมการประชุมด้วยตนเอง

นอกเหนือจากนั้น ผมเชื่อว่าการทำการตลาดก็เหมือนกับการนำเสนอโปรดักให้ผู้คนที่ต้องการ และช่วยในเรื่องการเสนอเหตุผลที่จะลอง และแนะนำโซลูชันของคุณ (เช่น จุดเด่นที่สำคัญเมื่อเทียบกับคู่แข่ง)

คำถาม: กระบวนการวิจัยและการตลาดของคุณเป็นอย่างไร

สำหรับการวิจัย: ธุรกิจส่วนใหญ่ของผม รวมถึง ZipMessage ด้วย ทั้งหมดเกิดมาจากปัญหาส่วนตัวที่ผมเคยเจอ และความปรารถนาที่จะสร้างโซลูชั่นที่ดีกว่า ซึ่งผมก็ยังมีเป้าหมายที่อยากทำอีกเยอะเลยแหละ

ขั้นตอนต่อไปของผมคือการประเมินตลาดว่ามี active/growing มากน้อยแค่ไหน มีแลนด์สเคปในการแข่งขันเป็นอย่างไร และจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของผมนั้นจะเป็นอย่างไร (เช่น ทำไมผู้คนควรจะต้องให้ความสนใจโซลูชันของผมในตลาดนี้ด้วย)

การตลาด: ตลอดอาชีพของผมก็พบความสำเร็จด้านการตลาดมามากพอแล้ว ที่ได้ผลมาจากพลังเครือข่าย โดยการเผยแพร่ผ่านพอดแคสและวิธีต่าง ๆ เพื่อใช้เผยแพร่ผลงานของผม ให้ช่วยกระตุ้นการได้มาของลูกค้า ด้วยการตลาดแบบปากต่อปากเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ วิธีนี้จะช่วยผลักดันช่องทางออร์แกนิกอื่น ๆ เช่น SEO และการตลาดแบบ Affiliate

ทุกวันนี้ ZipMessage เกิดมาจากคอมโบนี้เลย (การตลาดแบบปากต่อปาก) ด้วยปัจจัยขององค์ประกอบไวรัล (เผยแพร่ ZipMessage ให้กับใครบางคนรับรู้ --> พวกเขาเริ่มใช้ ZipMessage ฯลฯ) นอกจากนี้ เรายังเริ่มลงทุนสร้างคอนเทนต์/SEO พันธมิตรความร่วมมือเชิงบูรณาการ และการทดลองในช่องทางอื่น ๆ

โปรดัก SaaS และเครื่องมือ SaaS

ถาม: อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำให้ผู้คนลงทะเบียนสำหรับเวอร์ชันที่ชำระเงินเทียบกับเวอร์ชันที่ฟรีคืออะไรและคุณจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้ที่กลายเป็นผู้ใช้ที่ชำระเงินได้อย่างไร

บน ZipMessage เราเห็นจำนวนลูกค้ามากมาย จากที่เคยใช้แบบฟรีก็เปลี่ยนเป็นแบบจ่ายเงิน ปัจจัยสำคัญในการอัปเกรดของลูกค้าคือ:

  • เลิกใช้การจำกัดระยะเวลาในการบันทึก
  • การเชิญสมาชิกในทีม
  • คุณสามารถปรับเปลี่ยนลิงก์ ZipMessage ให้เป็นของคุณเองได้ (zipmessage.com/YOUR-NAME)
  • เพิ่มประวัติการทำงานในข้อความ backlog ของคุณ

ซึ่งผู้คนจำนวนมาก ยังได้รับความคุ้มค่าในการใช้งานเวอร์ชันฟรีของเรา ซึ่งเราให้บริการข้อความที่ไม่จำกัดเฉพาะผู้ตอบแบบสำรวจเท่านั้น

อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ผมขอแนะนำ: ทำให้ผู้ใช้ได้เห็นฟีเจอร์ของคุณทั้งหมดก่อน หากผู้ใช้คลิกดูแค่ฟีเจอร์ที่มีในแบบจ่ายเงิน ฟีเจอร์นั้นควรทำให้พวกเขาไปยังหน้าจออัปเกรดเป็นพรีเมี่ยมเลยแทนที่จะนำพวกเขาไปยังฟีเจอร์นั้น

คำถาม: คุณพอจะบอกเราได้มั้ย คุณใช้บริการโฮสติ้ง SaaS ของคุณในที่ไหน? คุณพอจะมีคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ควรมองหา เมื่อเลือกใช้บริการเว็บโฮสติ้งบ้างมั้ย?

แอป SaaS ทั้งหมดของผมได้โฮสต์บน Heroku ผมเลือกที่นี้ เพราะ Heroku ช่วยในการจัดการเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใช่จุดแข็งของผม ดังนั้นผมจึงเลือกใช้บริการที่ "ไม่ก้าวก่าย" ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้เรายังใช้ประโยชน์จากบริการต่าง ๆ ของ AWS

ผมขอบอกเลยว่า มันเป็นเรื่องดีที่จะเห็นคุณค่าว่าการหาบริการเว็บโฮสติ้งที่ง่ายต่อการทำงานกับทีมงาน รวมที่งยังมีความน่าเชื่อถือในเรื่องของราคาอีกด้วย

 

คำถาม: คุณจัดการกับ ระบบการยืนยันตัวตนและระบบการรักษาความปลอดภัย (การจัดการผู้ใช้/การรักษาความปลอดภัย) อย่างไร

เราสร้างขึ้นบน Rails และเราใช้ Ruby gem ที่ได้รับความนิยมสูง และ Devise พร้อมด้วยการปรับแต่งหลายอย่างที่สร้างขึ้นนอกเหนือจากนั้นสำหรับกรณีการใช้งานของเรา

 

วิธีสร้างรายได้จาก SaaS 

คำถาม: คุณมีวิธีสร้างรายได้อย่างไรบ้าง และคุณทำการเรียกเก็บเงินอย่างไร

ZipMessage ธุรกิจปัจจุบันของผม ก็เป็น SaaS ที่มีรูปแบบ freemium ผู้ใช้จะเริ่มใช้แพ็กเกจแบบฟรีก่อน จากนั้นก็สามารถชำระเงินเพื่ออัพเกรดเป็นสมาชิกรายเดือนหรือรายปีก็ได้ เรามีสมาชิกให้อัพเกรดอยู่ 2 ระดับ โดยระดับสูงสุด (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น) จะสามารถขยายในขณะที่พวกเขาเพิ่มสมาชิกในทีมมาเพิ่มอีกได้

ซึ่งหลาย ๆ ธุรกิจก่อนหน้านี้ของผมส่วนใหญ่ ยังใช้รูปแบบรายได้/การสมัครสมาชิกเหมือน ๆ กัน ธุรกิจบริการเขียนคอนเทนต์บล็อกก่อนหน้านี้ของผม (ขายในปี 2021) เป็นบริการที่ให้ลูกค้าจ่ายค่าสมาชิกแบบรายเดือน

นอกจากนี้ผมยังมีธุรกิจคอร์สเรียน ซึ่งเป็นโปรดักที่ซื้อได้เลยเพียงครั้งเดียว ผมขายธุรกิจนี้ไปแล้วในปี 2022

 

วิธีการขายธุรกิจ SaaS

คำถาม: หากเป้าหมายของฉันคือการเข้าซื้อกิจการในอีก 1-2 ปีดังนั้นแล้วฉันควรทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจมีความพร้อม และจะเข้าซื้อกิจการที่เหมาะสมสำหรับคู่แข่งหรือบริษัทที่ใหญ่กว่าได้อย่างไร

นั่นก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจเสมอ ในการสร้างระบบและกระบวนการโดยที่คุณแทบไม่ต้องเพิ่มงานประจําวันให้กับพนักงานเลย ถ้าแผนที่วางไว้ไม่ได้ผล ลองคิดดูว่าจะเสียแค่ไหน? ลูกค้าที่พร้อมจะซื้อจะถามคำถามนี้ก่อน และคำตอบจะส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าธุรกิจของคุณด้วยนะ นี่ถือเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมธุรกิจบริการ

อีก 2 ธุรกิจที่ผมขายไปแล้ว ก็เป็นบริการที่มีคุณภาพมาก ๆ เหตุผลที่มันขายได้ ก็เพราะว่าผมใช้เวลาทำตัวโปรดักตลอดเวลา รวมถึงทีมงานคุณภาพของผมและกระบวนการของเราลงทุนลงแรงกันมา และแล้วเจ้าของใหม่ก็ซื้อธุรกิจนี้ไปได้ด้วยดี

คำถาม: คุณมีแนวทางในการขายธุรกิจของคุณอย่างไร?

ในปี 2015 ผมทำงานกับโบรกเกอร์รายหนึ่งในโปรเจค SaaS ยังมีหลายคนที่อยู่เบื้องหลังโปรเจคมากมาย และผมทำงานกับ FE International และถือเป็นประสบการณ์ที่ดี ช่วงนี้ผมคิดว่าโบรกเกอร์เหมาะกับโปรดักที่มีราคาสูงหลักล้านดอลลาห์เลย

ในปี 2021 ผมได้ลงประกาศขายธุรกิจบางส่วนของผมใน MicroAcquire ซึ่งเป็นเหมือนตลาดสำหรับซื้อ/ขายธุรกิจ ผมขอแนะนำตลาดนี้ สำหรับข้อเสนอที่ตั้งราคาไว้หลักแสนดอลลาห์ และน้อยกว่านั้น ผมขายโปรดักได้ไม่กี่ตัว ในราคาหลักแสนและหลักหมื่น ผ่านทาง MicroAcquire

และบางธุรกิจของผมได้ขายให้กับเพื่อนสนิทและคนรู้จัก ในบางเคส พวกเขาก็ติดต่อผมด้วยตัวเอง และในบางกรณีผมก็เป็นฝ่ายเข้าหาพวกเขาเอง

 

คำถาม: จัดว่าเป็นเรื่องง่ายไหม ในการต่อรองราคา?

แตกต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว! ทั้งแตกต่างกันมาก แตกต่างกันไปในแต่ละดีล

ผมใช้เวลาเจรจาต่อรองข้อเสนออยู่หลายเดือน (ตอนนั้นเครียดมาก!) ไหนจะเรื่อง การเจรจาต่อรอง การตรวจสอบวิเคราะห์ราคากิจการ และการโอนย้าย ในกรณีอื่น ๆ เราพยายามเปลี่ยนจากการเจรจาต่อรองข้อเสนอเป็นการปิดการขายโดยเร็วที่สุดในเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งก็จะพิจารณาเป็นรายกรณี

 

คำถาม: จุดขายของคุณคืออะไร และคุณจะกำหนดราคาได้อย่างไร

โดยทั่วไปแล้วมันเป็นสิ่งที่ตลาด/ผู้ซื้อจะวิเคราะห์ราคาเอง เมื่อพูดถึงการประเมินมูลค่า SaaS ผลราคามักจะขึ้นอยู่กับรายได้ที่เกิดขึ้นใหม่หรือกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันของคุณ และปัจจัยอื่น ๆ อย่างเช่น แนวโน้มการเติบโตในตอนนี้ และการเข้าซื้อเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ (จำนวนเท่าที่สูงกว่า) หรือการทำธุรกรรมทางการเงินล้วน ๆ

 

เพิ่มเติม

คำถาม: อะไรที่ทำให้คุณไปต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ? คุณอย่างฝากเคล็คลับอะไรอีกบ้างไหม?

เป็นคำถามน่าสนใจมากเลย! มีบางอย่างสำหรับผม

  • เมื่อย้อนกลับไป ผมชอบดูแนวโน้มในระยะยาวมากกกว่า ก่อนที่จะมีลูกค้าเลิกใช้บริการในเวลาอันสั้น โดยปกติแล้ว มองภาพใหญ่ไว้ก่อนก็จะดีกว่า
  • จำไว้ว่า ต้องออกกำลังกายทุกวัน แม้เมื่อคุณคิดว่าคุณมีงานที่ต้องทำ คุณจะรู้สึกดีขึ้น และคุณจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น
  • มีวันหยุดพักผ่อนบ้าง! (เช่น เที่ยวกับครอบครัว)

สรุป

เพียงเท่านี้เราก็หวังว่าคุณจะเห็นไอเดียมากมาย จากข้อมูลเชิงลึกที่คุณไบรอัน เคสเซล ได้แบ่งปัน หากคุณกำลังมองหาแรงบันดาลใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจ SaaS หรือว่ามีธุรกิจ SaaS อยู่แล้ว สามารถนำความรู้ดี ๆ จากบทความของเรา ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเริ่มต้น, การเติบโต, ขยายธุรกิจ และขายธุรกิจ SaaS ของคุณ

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?