06 กันยายน 2022 0 366

สัมภาษณ์กับคุณมาร์ติน อ๊อชวัต (Martin Ochwat): ลงทุนมากกว่าร้อยล้านดอลล่าร์ไปกับโฆษณาบน Facebook

โลกการตลาดออนไลน์เป็นพื้นที่ที่ไม่เคยขาดแคลนประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ วันนี้เราจะมาแชร์บทสัมภาษณ์ของผู้ชายที่น่าสนใจมากๆ คนหนึ่งชื่อว่า มาร์ติน อ๊อชวัต มาร์ตินจะบอกเราว่าเขาใช้เงิน $300,000 ในวันหยุดสุดสัปดาห์สักหนึ่งวันบนโฆษณาบน Facebook จากนั้นเขาก็ใช้เงินไปมากกว่า $100,000,000 ด้วยความประสบความสำเร็จในตลาดการเล่นเกม เริ่มต้นแบรนด์อีคอมเมิร์ซของเขาเองที่ทำรายได้หลักล้านดอลล่าร์ และตอนนี้เขาก็กำลังทำ lead generation ด้านประกันภัยอยู่

มาร์ตินมีเรื่องราวสุดบ้าระห่ำไปหน่อยนะ โดยบทสัมภาษณ์นี้ที่จัดขึ้นที่ Linx Digital University ซึ่งเขาได้แบ่งปันประสบการณ์ทั้งหมดในวงการอุตสาหกรรมของเขาและคำแนะนำให้กับผู้ที่สนใจในโลกการตลาดออนไลน์

เฮ้ มาร์ติน, คุณช่วยเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับตัวคุณให้พวกเราฟังหน่อยสิ

ขอบคุณที่ชวนผมมาในวันนี้ด้วย โอเคมา ผมเป็นนักการตลาดดิจิทัลคนหนึ่งและผมทำมาประมาณ 7 ปีได้แล้ว ผมเคยทำงานด้านวงการเกม อีคอมเมิร์ซ และตอนนี้ก็กำลังทำ lead-gen ซึ่งโฆษณาบน Facebook ถือว่าเป็นแหล่งหารายได้ของผมและผมก็พึ่งพาโฆษณาในนี้เป็นช่องทางหลักมาตลอด ผมแค่ถนัดเรื่องการตลาดที่ดีแต่ผมจะไม่เอาไหนมากในเรื่องอื่นๆ เช่น การดำเนินงาน การสร้างแบรนด์ และอื่นๆ แต่ก็เพิ่งพบว่ามีบางอย่างที่เหมาะกับตัวผม ดังนั้นผมทำงานในวงการนี้มา 2 -3 ปีแล้ว ผมใช้เงินไปเยอะและสร้างรายได้ก็เยอะ แต่ก็เคยใช้จ่ายเงินไปมากกว่า $100,000 000 ไปกับโฆษณามากมาย

ดังนั้นพาเราย้อนเวลากลับไปในช่วงก่อนที่คุณจะกลายเป็น Media Buyer หรือผู้จัดการการซื้อโฆษณาเนี่ย คุณเข้ามาในวงการนี้ได้อย่างไร?

ก็ตอนนั้นผมลองเข้าไปซื้อสื่อโฆษณาโดยบังเอิญ ผมเคยเรียนเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์สมัยอยู่ที่ประเทศแคนาดา ผมทำธุรกิจสตาร์ทอัพและมันก็ล้มเหลวจนทำให้ผมเงินหมดไป แต่มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งโทรหาผมจากมหาวิทยาลัยและเขาพูดว่า "นี่ๆนายคงรู้ว่าฉันทำงานที่บริษัทเกมสนุกๆในซานฟรานซิสโกอยู่ สนใจจะมาทำงานที่นี่ด้วยกันมั้ย?" ผมไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้วผมเลยคิดว่า "ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ!" ผมนั่งเครื่องบินไปที่เมืองซิลิคอนวัลเลย์ในซานฟรานซิสโก การสัมภาษณ์งานผ่านไปด้วยดี จากนั้นพวกเขาก็เอาผมเข้าไปอยู่ในทีมงานจัดการการซื้อโฆษณาบน Facebook พวกเขาบอกว่าผมจะต้องก้าวไปข้างหน้าและเรียนรู้การซื้อสื่อโฆษณาและทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่นั้นมา

แล้วช่วง 2 สัปดาห์ในของการทำงานแรกๆเกิดอะไรขึ้นบ้างมั้ย?

ตอนผมไปอยู่ที่นั่น ผมทำอะไรไม่เป็นเลยเกี่ยวกับการซื้อสื่อโฆษณา มีแค่ผมกับบอสของผมที่จัดการเรื่องงบค่าใช้จ่ายโฆษณา Facebook ที่มีมูลค่าเฉียด $80,000,000 ต่อปี มีอยู่วันหนึ่งบอสขอลาพักสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมคิดว่าเขาไปเที่ยวที่เทศกาลดนตรีและเขาก็พูดว่า "มาร์ติน คุณเพียงแค่ช่วยจัดการแคมเปญและเช็คดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดก็พอ" ดังนั้นเราจึงมีเครื่องมือภายในนี้ในการจัดการโฆษณาของพวกเรา เพราะเรามีโฆษณาประมาณ 10,000 โฆษณาที่กำลังทำงานในพร้อมๆ กันอยู่ และในปี 2014 นั้นผู้จัดการธุรกิจ Facebook ไม่สามารถโหลดข้อมูลได้มากขนาดนั้น

ดังนั้นผมจึงทำการยิงโฆษณาและผมตั้งใจจะพิมพ์ $65 ต่อการติดตั้งแอป แต่แล้วผมดันบังเอิญพิมพ์ $65 ต่อการคลิก เป็นการเสนอราคาแทนเฉยเลย บอสก็เลยโทรมาหาผมแล้วถามว่า "คุณเช็คโฆษณาดีๆแล้วหรือยัง?" ผมคิดว่า "ไม่น่ามีอะไรหรอกมั้ง" ผมเข้าสู่ระบบและตรวจสอบโฆษณาและเราได้ใช้จ่ายอยู่ $3,000,000 ในช่วงเวลา 1 วันครึ่งของแคมเปญแอนดรอยด์เนื่องจากมีการเสนอราคา $65 ต่อคลิก ผมค่อนข้างกลัว เพราะปัญหานี้จะรับประกันได้เลยว่าผมจะโดนไล่ออกแน่ๆ และบางทีผมไม่ได้ถูกไล่ออก บางทีบอสของผมอาจจะโดนลงโทษแทนผม ผมเดาว่าเขาคงโดนบ่นหนักเลยแหละ แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ไล่ผมออกในสัปดาห์ที่สองของการทำงานนี้

อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็เป็นเรื่องดีในระยะยาว เพราะในสุดสัปดาห์นั้น "คุณเชอริล แซนด์เบิร์ก" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของทาง Facebook ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เราใช้ไปกับโฆษณาใน 2 วัน ดังนั้น Facebook จึงเริ่มให้การสนับสนุนกับเราหลายๆอย่าง เราได้ผู้จัดการบัญชีที่ดีที่สุดของพวกเขาและในปีถัดไปเราสามารถขยายสเกลการใช้จ่ายโฆษณาของเราให้เป็นมากกว่า $100,000,000 ต่อปีได้

ในขณะที่ทำงานแค่ 2 คนเท่านั้น คุณจัดการกับงบประมาณนั้นทั้งหมดได้อย่างไร?

ในตอนแรกๆพวกเราต้องทำกันเอง ผมคิดว่าเราใช้เวลาถึง 16 ชั่วโมงในการพยายามยิงโฆษณาด้วยเครื่องมือภายในของเราซึ่งจะทำให้เราสามารถยิงตัวโฆษณาได้ครั้งละ 10 ถึง 100 โฆษณา ดังนั้นผมจะนั่งอยู่ที่นั่นเกือบทั้งวันเพื่อพยายามที่จะยิงโฆษณา จากนั้นคุณก็จะรู้ว่าเราจะส่งออกข้อมูลทั้งหมด เนื่องจากผู้จัดการธุรกิจไม่สามารถใช้งานได้กับสิ่งนี้ในตอนนั้น แค่ผมดูที่ excel และดูเหมือนว่าชุดโฆษณานี้มันทำงานได้ไม่ดีและผมจะเข้าไปและทำลายโฆษณาจำนวนมากด้วยตัวเอง มันคล้ายๆกับวิธีที่คุณทำการซื้อสื่อโฆษณาได้เลย โดยใช้ automated rules, dynamic creative และฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ที่จะทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น โดยคุณสมบัติพวกนั้นไม่ได้มีอยู่สำหรับเราในตอนนั้น ดังนั้นเราลงเอยด้วยการสร้างพวกมันขึ้นจำนวนมากในองค์กรของเราเอง เรามีวิศวกรอยู่ 2 คนและแค่เราพูดว่าเรามาสร้างกฎที่ว่า “หากโฆษณาชุดหนึ่งมีอัตราการคลิกผ่านสูงมากๆเราจะเพิ่มงบประมาณขึ้น 20% ต่อวันและหากโฆษณาชุดหนึ่งมีอัตราการคลิกผ่านที่แย่มากเราจะลดงบประมาณลง”

ดังนั้นเราจึงต้องสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ผมและบอสขยายเพิ่มขึ้นอีกได้ ในที่สุดเราก็มีคนเข้ามาในทีมของเรามากขึ้นและในที่สุด Facebook ก็ลงเอยด้วยการได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือบางอย่างที่เราสร้างขึ้นภายในองค์กรและพวกเขาก็ปล่อยเครื่องมือเหล่านั้นบนแพลตฟอร์มให้กับผู้จัดการการซื้อโฆษณารายอื่นๆ ดังนั้นเกือบจะไม่ซับซ้อนเท่าตอนนี้เลย แต่พอย้อนกลับไปในตอนนั้นมันมีความยากมากๆและความพยายามหนักหน่วงในการสร้างเครื่องมือเล็กๆที่จะทำให้คุณทำงานสบายมากขึ้น

คุณก็แค่ใช้เงินไปกับจุดนั้นทั้งหมดเลยหรอ การใช้จ่ายโฆษณาในระดับสูงของโฆษณา Facebook ในระดับนั้นทำด้วยวิธีอะไรบ้าง เป็นด้านความครีเอทีฟหรือเป็นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่ากัน?

ในช่วงเวลาที่มีค่าใช้จ่ายสูงในตอนนั้นและแม้กระทั่งตอนนี้ผมยังคงบอกว่าด้านความครีเอทีฟสามารถสร้างอิมแพ็คที่ดีที่สุด โชคดีที่เรามีทีมงานครีเอทีฟดีๆ จริงๆแล้วเราได้ทำงานร่วมกับคนดังมากมายในช่วงแรกๆ เราได้เซ็นสัญญากับ "คุณเคท อัพตัน (Kate Upton)" ด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยไม่ถึงหลักล้านดอลล่าร์ด้วยซ้ำและเราได้เธอมาทำโฆษณา 3 ชิ้น เราได้วางแผนจ้างคนดังมาตั้งแต่เนิ่นๆซึ่งช่วยให้เรามีเวลาในการใช้ความครีเอทีฟ ซึ่งเรามีคนอย่างคุณเคท อัพตัน (Kate Upton) และคุณอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ในโฆษณาของเราอีกด้วย

แต่ในสมัยก่อน Facebook จะเร่งเผยแพร่โฆษณาใหม่ๆ เพราะทาง Facebook ต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อดูว่าผู้ลงโฆษณาสามารถขยายกิจการได้หรือไม่ ดังนั้นโฆษณาใหม่ๆของคุณจะทำงานได้ดีกว่าโฆษณาเก่าๆ ซึ่งจุดนี้นำเราไปเจอแหล่งที่เรามักจะทำการยิงโฆษณาตัวใหม่แบบอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆวันและเรากำลังมองหาการแฮ็กเล็กๆน้อยๆและข้อได้เปรียบเล็กๆน้อยๆเท่าที่เราจะสามารถมองหาได้ในตอนนั้น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีข้อได้เปรียบที่ทำแบบอัตโนมัติ หรือข้อได้เปรียบด้านความครีเอทีฟและเมื่อไหร่ก็ตามที่มีแพลตฟอร์มใหม่ๆออกมา อย่างเช่น สตอรี่ส์ในอินสตาแกรม โดยเราก็จะรีบทำแหล่งนี้ทันทีและนั่นจะทำให้เราก้าวต่อไปได้อีก และทำให้เราสามารถใช้จ่ายโฆษณาได้อย่างยั่งยืน

แล้วสรุป คุณเข้ามาสู่ธุรกิจต่อไปของคุณที่ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซ และการเป็นตัวแทนนายหน้าร้านค้ามาได้อย่างไรบ้าง?

หลังจากใช้เวลา 2 ปีที่บริษัท Machine Zone ในอุตสาหกรรมการเล่นเกมก็มีการแข่งขันสูงมากและมีเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผมสังเกตเห็นว่าสไตล์เกมของเราที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นและเป็นเกมยอดนิยม 2 เกมในแอปสโตร์ (Game of War และ Mobile Strike) เริ่มมีรายได้รวมลดลงเรื่อยๆและค่าโฆษณาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผมจึงรู้ว่าเทรนด์นี้อาจไม่อยู่ไปตลอดและผมก็รู้สึกเบื่องานของผมแล้วด้วย ผมจึงเริ่มใช้เวลาช่วงเย็นมาศึกษาเรื่องอีคอมเมิร์ซ เพราะผมมีเพื่อนที่ถนัดทำอีคอมเมิร์ซ

ดังนั้นผมจึงใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนที่จะพยายามที่จะหาว่าทาง Shopify ทำงานแบบไหน ตัวแทนการขายหน้าร้านคืออะไร และนี่เป็นช่วงต้นปี 2017 เมื่อยังไม่ได้มีการนำสินค้ามาขายอย่างเต็มที่ หลังจากใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการปล่อยสินค้า 50 รายการที่แตกต่างกันในร้านค้า และพยายามครีเอทีฟมัน ซึ่งผมมีสินค้าอยู่หนึ่งชิ้นที่ทำงานได้ดีด้วย มันเป็นนาฬิกาสไตล์เรียบง่ายที่ดูคล้ายๆของ Daniel Wellington แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมตัดสินใจได้แล้ว ดังนั้นผมจึงขยายโฆษณาสำหรับสินค้านี้ และแล้วก็ยิงตัวโฆษณาแบรนด์นาฬิกาจากที่นำเข้ามาขายทั้งหมด จากนั้นผมก็มองหาสินค้าตัวอื่นจากที่เป็นนาฬิกาที่นำมาขายหน้าร้าน ก็จะมีเสื้อผ้า ชุดว่ายน้ำ เครื่องประดับและผมก็มุ่งไปหาสินค้าอื่นๆอีกด้วยวิธีเดิมในกลุ่มความสนใจที่แตกต่างกัน จริงๆแล้วผมยังเจอกลุ่มที่มีความสนใจเฉพาะอีก ที่น่าจะทำได้ดีกว่าในบางเวลาของปีนั้น เช่นเดียวกับในฤดูร้อนเราสามารถขายชุดว่ายน้ำได้ดีจริงๆ ส่วนฤดูหนาวจะขายได้เยอะก็อย่างเช่น เครื่องประดับสำหรับของขวัญ แต่ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถขยายรายได้มากกว่า $1,000,000 ต่อปีในร้านค้าต่างๆ นั่นเป็นวิธีที่ผมเลือกที่จะเป็นตัวแทนการขายสินค้าโดยใช้ชุดทักษะการโฆษณา Facebook เดียวกันกับที่ผมได้เรียนรู้ในขณะที่ผมอยู่ในวงการอุตสาหกรรมเกมที่ Machine Zone

อะไรคือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างกลุ่มตลาดเฉพาะการเล่นเกมและอีคอมเมิร์ซ?

ความแตกต่างข้อแรกคือ ผมรู้สึกว่าการใช้จ่ายงบของคุณเองมีจำนวนมากจนรู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะว่าคุณไม่สามารถทำผิดพลาดใดๆได้เลย แต่อุตสาหกรรมเกมนั้นอาจจะเป็นการแข่งขันสูงที่สุดที่ผมเคยทำมา มีนวัตกรรมเกิดขึ้นมากมายที่นั่น ส่วนเหล่าผู้ซื้อสื่อโฆษณาก็มีความแข็งแกร่งจริงๆ ซึ่งนั่นมีอัตราราคา LTV สูงมาก ทุกวันนี้มันยากมากที่จะแข่งขันกันในตลาดอุตสาหกรรมเกม อยู่ที่ว่าคุณได้เพิ่มงบหลายล้านดอลล่าร์เพื่อสร้างเกมที่น่าตื่นตาตื่นใจที่มีอัตราราคา LTV ที่ดีและสามารถขยายต่อไปได้อีกด้วย

ผมพบว่าในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซดูละเอียดอ่อนมากกว่า มันมีหางที่ใหญ่ยาวมากๆและคุณสามารถมีร้านค้ามากมายที่ขายของที่ไม่ซ้ำกันโดยสิ้นเชิง คุณสามารถสุ่มขายของไปเรื่อยๆจากนั้นก็ขยายรายได้เป็นหลักล้านต่อปีได้ ดังนั้นจึงมีการแข่งขันน้อยมาก ถ้าคุณไปสำหรับกลุ่มความสนใจที่ใหญ่สุดๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า หรือชุดว่ายน้ำ คุณจะเห็นได้ชัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงจริงๆ แต่ผมพบว่ามันเป็นสนามวงการที่เปิดกว้างมากๆซึ่งทุกคนสามารถมีข้อได้เปรียบโดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเลย ธุรกิจอาจจะไม่ได้มีขนาดที่สูงมากนักแต่ถ้าคุณเป็นแค่ทำเองคนๆเดียวหรือทำเป็นทีมเล็กๆ คุณก็สามารถทำมาหากินได้ดีแล้ว

ทำไมคุณยังไม่จบลงที่อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซล่ะ?

ทำไมคุณยังไม่หยุดที่วงการอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไปเลยล่ะ? 

ในสุดท้ายแล้ว การทำอะไรง่ายๆอย่างเป็นตัวแทนการขายก็มีวันสิ้นสุดได้เหมือนคลื่น และผมเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นมาบ่อยแล้ว ดังนั้นผมจึงร่วมมือทำกับเพื่อนคนหนึ่งของผม และเราใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่งเท่านั้นในการสร้างแบรนด์อีคอมเมิร์ซ มันเป็นแบรนด์สินค้าที่ทำจากธรรมชาติที่เน้นความยั่งยืนที่เรียกว่า Wellow ผมจะบอกว่ามันถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีซึ่งผมได้รู้จักตัวผมเองว่าไม่ได้เก่งในทั้งการสร้างแบรนด์ การสร้างผลิตภัณฑ์สินค้า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การดำเนินงาน โลจิสติกส์ และส่วนประกอบเล็กๆในทักษะเหล่านั้น บางทีผมอาจจะไม่สนุกกับมันหรือไม่เก่ง แต่ผมรู้ว่าผมถนัดเรื่องการตลาดดิจิทัลเป็นอย่างดี

ดังนั้นมีวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังทำงานเกี่ยวกับแบรนด์นี้ จู่ๆก็เพื่อนคนหนึ่งเข้ามาหาผมและพูดว่า "นี่ๆ นายรู้ใช่มั้ยว่าพวกเรากำลังจะเปิดตัวนายหน้าประกันชีวิต และพวกเราก็อยากให้นายลองมาทำด้าน lead-gen โฆษณา ผมยอมรับที่จะยิงโฆษณาบางอย่างสำหรับพวกเขาและผมสังเกตเห็นว่าค่าใช้จ่ายต่อลีดของเราถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการขายแท่งระงับกลิ่นกายบนอินเทอร์เน็ต หากคุณสามารถได้รับหนึ่งลีดในการโน้มน้าว ในอัตราราคา LTV ของลีดอาจเป็น $1,000 ถึง $2,000 หรือแม้จะมากกว่านี้ก็ตาม ดังนั้นก็จึงเป็นประสบการณ์ที่เปิดหูเปิดตาของผมว่าใน lead-gen มีโอกาสที่หาได้ยากก็เพราะอัตราของราคา LTV นี้แหละ นั้นจึงทำให้ผมเริ่มพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นและเริ่มช่วยให้โบรกเกอร์ประกันชีวิตที่ผมกำลังทำงานอยู่ตอนนี้เติบโตขึ้นได้

แล้วอะไรคือสิ่งที่คุณจะทำต่อไปในการโน้มน้าวผู้คนให้มาสนใจตัวกรมธรรม์ของคุณในธุรกิจนี้ และแผนการของคุณในปี 2021ในด้านการขยายธุรกิจคืออะไรบ้าง?

ดังนั้นเราจึงประสบปัญหาติดขัด ไม่ใช่ด้านการโฆษณาแต่เป็นด้านการดำเนินงานจริงๆของธุรกิจ ดังนั้นเราจึงกำลังทำงานเพื่อให้ได้ตัวแทนมากขึ้นและทำให้กระบวนการซื้อประกันชีวิตทำงานได้ด้วยตัวมันเองโดยเฉพาะในประเทศแคนาดา แผนของเราคือการยึดครองตลาดในประเทศแคนาดา ซึ้งในขณะนี้ที่นั่นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันน้อยกว่าในสหรัฐอเมริกามากๆและในตอนท้ายก็ยังคงทำเรื่อยๆจนขยายตัวไปทั่วโลกให้ได้

เรากำลังตั้งความคาดหวังแผนการเติบโตในระยะสั้นของเราซึ่งทำให้ผมมีเวลาในการลองใช้ช่องทางใหม่ๆ ดังนั้นเราจึงมุ่งเน้นไปที่การค้นหาโดย Google และ Youtube มากขึ้น นอกจากนี้เรายังได้เพิ่มความพยายามในการทำ SEO ของเรา ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการกระจายความเสี่ยงดูบ้าง ไม่ใช่แค่ขึ้นอยู่กับ Facebook ที่ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้นนับตั้งแต่ที่ระบบปฏิบัติการ iOS 14 ออกมา ไม่ว่ายังไงเราก็ยังอยากจะเป็นนายหน้าประกันชีวิตชั้นนำในประเทศแคนาดา

คุณจะให้คำแนะนำสำหรับผู้ซื้อสื่อโฆษณามือใหม่ที่กำลังเริ่มทำงานแรกของพวกเขาไว้อย่างไรบ้าง?

ก้าวแรกมันยากเสมอแหละ ถ้าคุณสามารถหาชุมชนที่ดีไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Facebook ของผู้ซื้อสื่อโฆษณารายอื่นๆ หรือเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์หรือเป็นถึงระดับอาจารย์ - ผู้คนเหล่านี้แหละที่จะช่วยคุณได้ มีหนทางเดียวที่ผมได้เรียนรู้การซื้อสื่อโฆษณาจริงๆเลยก็คือการลงมือทำด้วยตัวเอง คุณสามารถที่จะเรียนรู้นอกหลักสูตรได้ และคุณเรียนรู้จากการดูวิดีโอก็ได้แต่ไม่จำเป็นจะต้องดูเพียงอย่างเดียวมากมาย คุณต้องลองทำดูเองและใช้เงินของคุณลงทุนในการโฆษณา มันไม่จำเป็นต้องเป็นเงินจำนวนมากมาย คุณสามารถเริ่มต้นด้วยงบแค่ $20 ต่อวันหรืออาจจะน้อยกว่าใน Facebook แต่ด้วยการยิงโฆษณานั่นคือวิธีที่คุณเรียนรู้เกี่ยวกับโฆษณา คุณก็ยังคงเพิ่มงบประมาณของคุณและเพิ่มทักษะของคุณต่อไปอีกได้เมื่อเวลาผ่านไป

นี่ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยครับมาร์ติน ถ้ามีผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมจากไอเดียของคุณ จะสามารถติดต่อได้อย่างไรบ้าง

คุณสามารถติดตามผมได้ทั้งบน Facebook, Instagram และ Linkedin ก็ได้เลย ในชื่อผู้ใช้ Martin Ochwat เพียงส่งข้อความ Direct Message มาเลย ผมจะพยายามตอบกลับให้เร็วที่สุด

ก็มีเพียงเท่านี้สำหรับการสัมภาษณ์ในวันนี้ คุณยังสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณมาร์ตินได้อีกที่เว็บไซต์ martinochwat.com ของเขา และแน่นอนเลยว่าคุณจะได้รับเคล็ดลับเพิ่มเติมอีกและเรียนรู้ว่าเขาทำอย่างไรในเกมการตลาดออนไลน์นี้ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?