11 มีนาคม 2023 0 366

บทสัมภาษณ์ Adam Enfroy บล็อกเกอร์เงินล้านภายใน 2 ปี

อดัม เอนฟรอย์ (Adam Enfroy) เป็นนักการตลาดออนไลน์ และเป็นบล็อกเกอร์ ผู้ที่ประสบความสำเร็จสะเทือนวงการ Youtuber กับประสบการณ์ความสำเร็จที่เขาสามารถสร้างบล็อกตัวเองมีรายได้มากถึง 7 หลัก ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี และเขายังได้แบ่งปันเคล็ดลับในการทำบล็อกให้กับผู้ชมทางช่อง Youtube จนทำให้เขามีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ในบทความนี้ เรากำลังนำเสนอเส้นทางการเดินทางของอดัม ตั้งแต่เริ่มเรียนที่วิทยาลัย ไปจนถึงเริ่มงานครั้งแรก และจบลงด้วยการออกจากงาน จนมาเริ่มสร้างบล็อกจนมีมูลค่าถึง 7 หลักและกำลังจะเพิ่มเป็น 8 หลักในอนาคตอันใกล้นี้

มาติดตามไปจนจบ แล้วเราอาจจะได้เคล็ดลับที่สำคัญของอดัม เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาต่อยอดในการทำบล็อกอาจให้มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่เดือนก็อาจเป็นไปได้

Q: เรามาเริ่มกับคำถามแรกเลยดีกว่า น่าจะเป็นสิ่งที่สนใจมากสุดเริ่มจากคุณเรียนจบจากที่ไหนมา ช่วยเล่าประสบการณ์ให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ?
 

ผมเข้ามหาลัยตอนผมอายุ 18 ปี ที่ Michigan Sate University ก็อย่างที่รู้กันว่า เมื่อวันนั้นมาถึง คุณได้ค้นพบชีวิตที่เป็นอิสระเพราะว่า “ชีวิตในมหาวิทยาลัยมีทั้งช่วงที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด” มีความตื่นเต้น คุณจะนึกภาพตอนที่พ่อแม่ของคุณ พวกเขานำคุณมาทิ้งไว้แล้วขับรถจากไปทิ้งคุณไว้ข้างหลัง และคุณก็เริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวคุณ เริ่มทำปรับตัวเข้ากันได้ดีกับชีวิตในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าผมต้องการอะไร

จริงๆ แล้วผมสนใจเรื่องสื่อและภาพยนตร์ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมค่อนข้างจะลดลงไปอย่างช้าๆ เพราะในปีแรกผมได้เกรดเฉลี่ย 3.6 ในปีที่สองได้ 3.0 แล้วก็มาเหลือ 2.0 จนมาในปีสุดท้ายเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับผมมาก เพราะผมยังไม่รู้ความต้องการของตัวเองแม้แต่แนวทางก็ไม่มี พ่อแม่ของผมค่อนข้างเปิดใจให้ผมได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ผมก็ยังไม่รู้เป็นบ้าอะไรยังมองไม่ออกสักที  แต่ในที่สุดผมก็สามารถสำเร็จจบการศึกษา แม้จะใช้เวลาหกปีในชีวิตมหาวิทยาลัย ผมมีหนี้การศึกษา ผมมีใบปริญญาแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน ผมจึงตัดสินใจกลับบ้านไป และผมมีปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นนั่นคือ ผมติดแอลกอฮอล์อย่างหนัก มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับผมในตอนนั้น เพราะสมัยเรียนมัธยมผมมักจะเห็นว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมาตลอด หลายสิ่งเป็นไปด้วยดีสมัยเรียนมัธยม แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองมากนัก

Q: ในช่วงอายุ 18 – 24 ปี คงมีหลายสิ่งเกิดขึ้น อาจเป็นทั้งเรื่องที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำ ดูเหมือนว่าจะไปในแบบหลังเสียมากกว่า งั้นมาเริ่มช่วงที่คุณเรียนจบจากมหาลัย ในช่วงกูเงินเรียน และตอนจบออกมาคุณพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร
 

ผมจบปริญญาด้านสาขาเทคโนโลยีมีเดียอาร์ต ก็จะทำงานเกี่ยวกับสื่อวิดีโอบนเว็บซึ่งมันก็เป็นงานง่ายๆ จากนั้นผมก็ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ แล้วนิสัยแย่ๆ ของผมก็เกิดดำเนินเรื่อยมา ในตอนนั้นผมแค่รู้สึกทุกข์ใจเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ผมก็เริ่มทำงานที่ร้านพิซซ่า ผมทำงานได้ชั่วโมงละ $9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณสองสามปี ผมก็มาคิดได้ว่า “ผมคงจะใช้ชีวิตธรรมดาแบบนี้ไป”

แต่คิดดูสิคนที่อายุ 24-26 ยังทำงานส่งพิซซ่าชั่วโมงละ $9 เหรียญฯ ถ้าเป็นตอนอายุ 18 ปี ก็ยังรู้สึกว่ามันโอเคมาก คิดว่าเราเนี่ยสุดยอดแล้วยิ่งในชีวิตมหาลัย เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูเข้ากันได้ดี ทำงานได้เงินวันละ $180 เหรียญฯ

Q: ท้ายที่สุดคนทุกคนย่อมีจุดเปลี่ยน คุณคิดว่ามีอะไรที่คุณกำลังมองหาเพื่อมาเติมเต็มศักยภาพที่คุณมีแต่ยังนึกไม่ถึง แล้วเหตุการณ์อะไรทำให้คุณเปลี่ยนไป
 

วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกว่า “นี่เป็นอีกวันแล้วสินะ ที่ผมต้องออกไปทำงาน ผมต้องทำงานขับรถโดยที่รู้สึกอีกว่าไม่อยากจะทำอีกแล้ว เพราะว่ามันไม่ตรงกับที่ชีวิตผมต้องการในขณะนั้น ผมได้ฟังเรื่องที่ Tony Robbins เล่าเกี่ยวกับ passive income ผมรู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรกับมันในตอนนั้น มันเหมือนกับชีวิตติดอยู่กับอะไรสักอย่าง ผมเลยตัดสินใจไปเข้าฟังสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคล แล้วก็เข้าเรียน ได้ลองปฏิบัติดู รู้สึกว่าหลังจากที่ได้ลองฝึกดูแล้ว มันทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นสิ่งพัฒนาแล้วเห็นผล หลังจากนั้นวันหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจลงสมัครมาราธอน

ผมเลิกงานกลับถึงบ้านเวลา 17:30 น. เปิดแอบวิ่งของไนกี้ คว้าขวดน้ำหนึ่งขวด แล้วออกวิ่งแถว Ann Harbor เรื่อยไปถึง Michigan แล้ววิ่งลงมาแถว McDonal’s วิ่งแถวทะเลสาบ ผมวิ่งไปประมาณ 5 ชั่วโมง โดยที่ผมไม่รู้เลย วิ่งเสร็จก็เที่ยงคืนพอดีความมืดก็ปกคลุมไปทั่ว ผมวิ่งรอบสุดท้ายผ่านเข้าไปในป่า ขาผมเริ่มรู้สึกร้อนมากจนผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่มนุษย์แล้วผมก็วิ่งต่อไปจนจบ 26 ไมล์สุดท้าย ผมนอนลงแถวเชิงเขาแถวนั้น แล้วก็พูดว่า โอเค ถ้าผมทำสิ่งนี้ได้ ทำไมผมจะทำสิ่งอื่นไม่ได้?

จากนั้นผมก็เริ่มประกอบอาชีพ แล้วก็เป็นอาชีพแรก ที่ผมพยายามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างจริงจังถ้าผมอยากจะสร้างชีวิต นั่นเป็นเป็นเหตุผลหลัก ว่าผมจะหาเงินอย่างไร ให้มันกลายเป็นอาชีพที่จริงจังเสียที

Q: นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการ ใช่หรือไม่
 

ใช่แล้ว ผมลาออกจากเป็นเด็กส่งพิซซ่า และมาเริ่มจับงานการตลาดที่ได้เงิน $40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ผมทำแบบนั้นอยู่ 2 ปี แล้วย้ายไปทำงานกับบริษัท Himedics ที่นั่นผมได้เป็นผู้จัดการด้านอีคอมเมิร์ซ ที่นั่นจัดว่าเป็นบริษัทอิคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้ ที่นั่นขายสินค้าได้มากกว่า 100,000,000 ผลิตภัณฑ์ต่อปีทั้งแบบออนไลน์และขายส่งใน Walmart และ Target นั่นเป็นรายงานจากปี 2026-2017

ผมทำงานที่นั่นเริ่มจากเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย ผมทำเกี่ยวกับการตลาดอีคอมเมิร์ซ อิเมลการตลาด โฆษณาบนเฟสบุ๊ก PPC และ SEO ที่นั่นผมก็ได้รู้จักธุรกิจโมเดลที่เรียกว่าการตลาดแบบ affiliate หรือการตลาดแบบพันธมิตร ซึ่งผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

ผู้จัดการของผมก็พูดแต่เรื่องนี้ จนผมรู้สึกว่า “เอาสิ มันก็น่าสนใจดีนะ” ตอนนั้นผมอยู่ฝ่ายแบรนด์ แล้วเราก็เริ่มทำโปรแกรม affiliate ขึ้นมา แต่ก็นั้นแหละ ตอนนั้นผมกลับไม่ชอบงานนั้นเอาเสียเลย เพราะมันเป็นบรรยากาศขององค์กรที่น่าเบื่อและยุ่งยาก เปรียบเสมือน ไฟที่สว่างไสวอยู่ด้านบน แต่ด้านล่างทุกคนเงียบกริบ มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่น่าทำงานเลยตอนนั้น

ผมทำงานที่นั้นอยู่ 7 เดือนก่อนตัดสินใจเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการไปผ่อนคลายตัวเองนอนแช่น้ำอยู่ในอ่างมันเป็นโปรแกรมผ่อนคลายที่เรียกว่า float tank things ผมนอนแช่น้ำอยู่ในความมืดใช้ความคิดหาคำตอบกับตัวเอง ผมรู้สึกว่าผมอยากจะเปลี่ยนชีวิตของผมให้ดีขึ้น ผมอาศัยอยู่ที่ Michigan ในตอนนั้นผมอายุ 30 ปี ดูเหมือนว่าด้านนอกจะติดลบ 30 องศา ผมรู้สึกการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมันกำลังจะเกิดขึ้น

ผมเริ่มสมัครงานไปหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น Austin San Francisco และ New York ตอนนั้นผมไม่สนอะไรแล้ว นอกจากอยากจะออกไปจากจุดเดิมนั่นเอง

ผมจำได้ว่า ผมได้สมัครงานกับบริษัท BigCommerce เป็นบริษัทที่จัดการเกี่ยวกับการตลาดของ affiliate ผมทำงานนี้ในตำแหน่งผู้จัดการที่ผมได้เริ่มเห็นว่ารายได้แบบ passive income นั้นมันได้จริง ผมดูแลอยู่ประมาณ 4,000 โปรแกรมพันธมิตรในตอนนั้น

ผมเห็นบล็อกเกอร์หลายคนสามารถหาเงินได้จากการโปรโมต BigCommerce ทำจากที่ไหนก็ได้จนมีรายได้ประมาณ $2,000 - $50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเลยทีเดียว สินค้าอีคอมเมิร์ซได้เปิดโลกให้ผมได้เห็นถึงรายได้ และในอีกแง่หนึ่งผมก็ทำงานเป็นผู้จัดการด้านนี้อยู่ด้วย การที่ได้เห็นผู้คนต่อรองกับรายได้ที่เขาทำได้กับสายอาชีพนี้ และในอีกด้านหนึ่งในสายการทำงานของผมใกล้ชิดกับผู้อำนวยการ SEO ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีแนวหน้า เรื่องการสร้างคอนเทนต์ การขยายงาน การเขียนและจัดระเบียบเนื้อหา หัวข้อและโครงสร้างของโพสต์

ผมรู้สึกว่า “มันน่าสนใจเหมือนกัน เพราะถ้าผมรู้วิธีการจัดอันดับคอนเทนต์และรู้วิธีสร้างรายได้จากคอนเทนต์นี้ มันเป็นโลกเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับสตาร์ทอัพ บางทีผมอาจทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

Q: ในฐานะที่คุณเป็นผู้จัดการด้าน affiliate ให้กับบริษัท อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเดินตามเส้นทางแห่งความสำเร็จ จนสร้างรายได้ให้คุณได้มากพอหลังจากเฝ้าดูเหล่า affiliate สร้างรายได้ให้ตัวเองได้เป็นกอบเป็นกำ
 

การที่ได้เห็นตัวแทนการตลาดหลายคนได้รับค่าตอบแทนเป็นกอบเป็นกำจากการทำ affiliate ผ่าน BigCommerce ในขณะที่เรารับเงินเดือนในตำแหน่งผู้จัดการตามปกติ เป็นอะไรที่ยั่วยวนให้เราอยากทำตรงนี้บ้าง เคยมีคำถามในใจว่า “เอ๊ะ....ทำไมทำงานสายนี้ถึงมีรายได้ดีขนาดนี้”  ทำให้ผมรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ผมไม่เคยได้ก่อนของ Affiliate Marketing ที่มีตัวแปรเช่น ผู้คน แบรนด์ และเว็บไซต์แบบสุ่ม แค่มีพวกนี้ก็สามารถหารายได้ถึงหกหลักได้แล้ว นั่นจึงทำให้ผมทึ่งรู้สึก “ว้าว..มันหาได้จริงขนาดนี้หรือนี่

ผมได้เงินเดือน $120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี เมื่อหักภาษีแล้วเหลือประมาณ $80,000 - $90,000 เฉลี่ยต่อเดือนผมได้ประมาณ $7,000 - $8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือน และผมมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนเป็นค่าเช่าห้อง $2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าบิลทุกอย่างตกอยู่ประมาณ $2,000-$3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าผ่อนรถ สิ้นเดือนมาผมแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ นั่นเท่ากับว่าผมทำงานเหนื่อยเพื่ออนาคตของคนอื่น บริษัทกำลังเติบโตไปด้วยดีและกำลังอยู่ในขั้นตอนของ pre-IPO ตัวเลขเพิ่มทุกเดือน แต่สิ่งที่ผมทำอยู่มันกำลังทำร้ายร่างกายตัวเองจากความเครียด

สำหรับตัวผม การเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับการทำบล็อกทั้งหมด การทำการตลาดแบบตัวแทน SEO และการอยู่ในการแข่งขันที่สูง ในขั้นพื้นฐานนั้นผมยังมองไม่เห็นตัวเองตรงนั้น นั่นคือการตัดสินใจที่ผมเริ่มทำบล็อก

Q: คุณเริ่มทำบล็อกเมื่อปี 2018 หลังจากที่คุณได้เห็นถึงรายได้ของการเป็นตัวแทนทางการตลาดจากตำแหน่งที่คุณทำอยู่ที่ BigCommerce อะไรคือสิ่งแรกที่คุณทำหลังจากเริ่มทำบล็อก
 

ใช่ครับ ตอนที่ผมเริ่มทำบล็อกสิ่งแรกที่ทำคือตั้งชื่อโดยเอาชื่อของผมใส่ลงไป ได้ชื่อว่า adamenfroy.com เป็นชื่อเว็บไซต์ เพราะเป็นแบรนด์ส่วนตัวเกือบจะเหมือนเรซูเม่ดิจิตอล ชื่อนี้ผมไม่คิดที่จะเปลี่ยน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำ affiliate เกี่ยวกับกลุ่มไหนดี แต่ที่ผมมองเห็นคือ ผมอาจจะขอร้องให้เพื่อนสองสามคนช่วยกันโพสต์บน BigCommerce โดยที่มีชื่อผมที่เป็นเจ้าของบล็อกและลิงก์ใส่ไว้ที่ไบโอ แต่ก็มีหลายคนผูกลิงก์เว็บไซต์ของตัวเองไว้ที่ใบโอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความยุ่งยากสำหรับเราในการสร้างลิงก์

ตอนนั้นผมสร้างบล็อกในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ จริงแล้วมันไม่ใช่ความคิดที่ดีที่ทำแบบนั้น ผมเพียงแค่อยากให้มีคนเห็นบล็อกของผมเท่านั้น จากนั้นผมก็โพสต์บล็อกของผมประมาณสองสามครั้งแค่นั้น

เท่าที่จำได้อันแรกคือบล็อกเกี่ยวกับ ธรรมชาติของมนุษย์ (human nature) และ การพัฒนาตัวตน (personal development) ผมใช้เวลาเขียนบล็อกพวกนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เชื่อไหม ไม่มีใครอ่านบล็อกพวกนั้นเลย เพราะมันใช้ไม่ได้ผลแล้วกับวิธีที่ผมทำ จากนั้นผมก็ทดลองเขียนเรื่องเนื้อหาอื่นๆ ปรับแต่งเล็กน้อย ค่อยๆ ประชาสัมพันธ์ไปสองสามลิงก์ตรงนี้บ้างตรงโน้นบ้าง ตอนนั้นก็ลองทำไปอย่างนั้นเอง

ผมรู้ว่าการตลาดแบบตัวแทนนั้นค่อนข้างยาก ผมเลยใส่ลิงก์พวก affiliate ไปในบทความที่ผมเขียน ผมก็เริ่มเห็นบางลิงก์ที่ผมโพสต์ไปก่อนหน้าก็เริ่มจะเห็นผลสำเร็จขึ้นมาบ้าง เช่นเดียวกับยอดการค้นหาพื้นฐานบน Google Search Console เริ่มกระเตื้องขึ้น ทำให้ผมรู้สึก “โอเค มีบางอย่างเริ่มเห็นผมบ้างแล้ว”

ผมจึงตัดสินใจเขียนบทความเกี่ยวกับ affiliate ที่ผมรู้ อย่างเช่น ระบบซอฟต์แวร์ของอิเมลที่ดีที่สุดสำหรับการตลาด การโพสต์เว็บ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมเริ่มรู้กลยุทธ์ของ affiliate มากขึ้น และเลิกเขียนลงในพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ เพราะมันเริ่มมีปัญหาสำหรับการทำงานง่ายๆ ของระบบ SEO ในบล็อกพื้นที่เล็กๆ นั้น

ผมคุยกับเพื่อนที่นักพัฒนาระบบ และบอกเขาว่า “ คุณช่วยสร้าง WordPress ให้ผมหน่อยได้ไหม” ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนไปใช้ WordPress เป็นบล็อกทางการแล้วเอาบล็อกเก่าๆ ที่เคยใช้มาโพสต์เปิดตัวอีกทีเมื่อเดือนมกราคม 2019

Q: หลังจากที่คุณเขียนบล็อกบน WordPress ครั้งแรก  6 เดือนต่อมา เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
 

ผมเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างการแสดงผลคอนโซลการค้นหามีคนเข้ามาดูเข้ามาอ่านลดลงเล็กน้อย และการดูแบบตัวเลขหลักเดียวหรือ single-digit views ผมจำได้ว่า ผมน่าจะเข้าไปดูที่ตัววิเคราะห์ผลของ Google บนมือถือของผมก่อนจะไปทำงาน ทำให้รู้สึกว่า “เช้านี้มียอดคนเข้ามาดู 5 คน” เหมือนให้กำลังใจตัวเอง

ดังนั้น ในสามเดือนแรก ผมยังคงเขียนบล็อกทุกวันอย่างเคร่งครัด ผมใช้เวลาทำงานประมาณ 50 ชั่วโมงทั้งช่วงกลางคืนและวันสุดสัปดาห์เพื่อสร้างคอนเทนต์ ผมพยายามโพสต์ให้เป็นมาตรฐาน “ผมจะต้องเขียนให้มากที่สุดและต้องเร็วที่สุดด้วย” ผมอยาให้งานของผมเป็นมาตรฐานในงานเขียนและไปโฟกัสการสร้างลิงก์ เพราะถ้าผมยังอยากทำงานในจุดที่มีการแข่งขันสูง ผมจะต้องพยายามให้มาก

ในช่วงนั้นผมทำงานคนเดียวไม่จ้างใครเลย ผมโพสต์บทความเกี่ยวกับขั้นตอน ข้อมูล เนื้อหาของ affiliate เยอะมาก แต่จะโฟกัสไปที่การสร้างลิงก์ประมาณ 80% เป็นลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเขียนบล็อกจริงๆ เพื่อหวังให้ได้ backlink กลับมา

Q: จากความสำเร็จในการเป็นนักเขียน คุณได้นำกลยุทธ์ Link-building มาใช้กับส่วนไหนของธุรกิจ
 

ในระหว่าง 3 เดือนนั้น ผมเริ่มจ้างนักเขียนคนแรก นั่นจึงทำให้ผมมีเวลามาทำ link building จนได้กำหนดการเร่งที่จะโพสต์บล็อก และอื่นๆ อีกมากมาย จนในที่สุดผมก็สามารถโพสต์บล็อกของผมได้สองหรือสามโพสต์ต่อสัปดาห์

กลยุทธ์การสร้าง link-building ของผมไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก แค่ส่งข้อความออกไปประมาณ 5-10 ข้อความต่อวัน และผมก็ได้ใช้เทคนิคล่าสุดที่ผมได้เรียนรู้มาจากงานของผมใส่ลงไปด้วย จากโลกของสตาร์ตอัพ อย่าง เราจะจัดรูปแบบคอนเทนต์สำหรับ Google ได้อย่างไร วิธีการแนบลิงก์ affiliate ลงไปในคอนเทนต์นั้นๆ วิธีการทำ link-building วิธีการที่จะทำให้เข้าถึงคนดู และที่สำคัญอย่าง วิธีการทำบล็อกปี 2019-2020  ซึ่งไม่ใช่วิธีแบบปี 2010 ที่คนเคยสอนมา เพราะว่าโลกเปลี่ยนไปมากแล้ว

Q: ผลลัพธ์แรกที่ได้หลังจากที่เปิดตัวบล็อกออกไปคืออะไร
 

การเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดมาก จากที่เคยมีคนเข้ามาดู 5 คน ก็เพิ่มมาเป็น 10 จากนั้น 15 ไปถึง 20 แล้วจากนั้นผมก็มีคนเข้ามาดูทุกเดือนไม่ต่ำกว่า 1000 คน และภายใน 7 เดือนผมสามารถหาเงินได้เลี้ยงตัวได้เลย ผมจึงตัดสินใจลากออกจาก BigCommerce เพราะผมเคยสัญญาไว้กับตัวเองว่าจะลาออกจากงาน ถ้าบล็อกที่ผมทำหาเงินให้ผมได้ $100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี แต่นี่เริ่มแรกก็ทำเงินให้ผมได้มากถึง $120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี  นั่นคือสาเหตุที่ออกจากงานใน 7 เดือน เพื่อมาทำบล็อกแบบเต็มตัว

การมีศรัทธากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันน่าสนใจ มันทำให้เราอาจคิดไปได้ว่าเราจะหาเงินจากการทำบล็อกได้ถึง $10,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเลยทีเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วมันทำได้แค่ $5,000 - $6,000 เหรียญแค่นั้น — ผมดันคำนวณผิดพลาดคิดเยอะไปหน่อยตอนแรก

แต่หลังจากที่ผมลาออกจากงานประจำ ในเดือนต่อมาผมทำเงินจากการเขียนบล็อกได้ถึง $20,000 เหรียญ เลยเชียวนะ นั่นเพราะว่าผมทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับมัน เลยทำให้ดูเหมือนว่าการที่เรามีศรัทธานั้นได้ผล

Q: จากคำถามที่แล้ว ฟังดูน่าสนใจมากครับ คุณช่วยเล่าให้เราฟัง ถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนที่ 7 ถึงเดือนที่ 12 ว่าเป็นอย่างไร

ตอนที่ลาออกจากงานหลังจากทำไปบล็อกไปได้ 7 เดือน จำได้ว่าตอนที่เดินออกจากบริษัท ตอนนั้นก็รู้สึกดีนะ ผมแจ้งไปก่อนแล้วล่วงหน้า 1 เดือน เพราะงานค่อนข้างสำคัญมาก ผมเลยไม่อยากออกจากบริษัทแบบไม่บอกกล่าว แต่ก็รู้สึกค่อนข้างเครียดเหมือนกัน ผมเก็บของใส่รถออสตินของผม แล้วก็จากมา

ผมย้ายกลับไปมิชิแกน ที่ที่ครอบครัวผมอยู่ที่นั่น ผมไปจัดของที่บ้านพี่ชาย จากนั้นก็เริ่มท่องเที่ยว ผมไปสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส และไอรีแลน ผมบินไปญี่ปุ่น อยู่ที่เกียวโต 3 สัปดาห์ แล้วก็บินไปออสเตรเลียพักอยู่ที่ซิดนี่ประมาณสองสามสัปดาห์ จากนั้นก็ตรงไปประเทศไทย สรุปผมไปเที่ยวมา 7 ประเทศ พัก Airbnb ตลอดทั้งทิปใน 6 เดือน

ชีวิตพึ่งจะมาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อปีที่แล้วผมยังทำงานเป็นทาสอยู่เลย แต่มาตอนนี้ ผมหาเงินได้ $20,000 - $30,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน จึงทำให้ผมมีเงินท่องเที่ยว

Q: ตั้งแต่เดือน 6 ถึงเดือน 12 รายได้ของคุณกระโดดจาก $10,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเป็น $20,000 และ $30,000 เหรียญตามลำดับ เราเชื่อว่านั่นเป็นรายได้ของปี 2020 แล้วช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมของปีนั้น เรารู้กันอยู่ว่าเกิดวิกฤติขึ้นทั่วโลก คุณช่วยบอกเราหน่อยได้หรือไม่ว่าสถานการณ์บล็อกของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
 

หลังจากเสร็จจากทิปท่องเที่ยว ผมก็กลับบ้านที่มิชิแกน ผมเที่ยว 6 เดือนเต็ม จึงถึงเวลากลับบ้านสักที ตอนที่ผมอยู่บ้าน ผมจำได้ว่าเป็นช่วงหน้าหนาวและเป็นช่วงที่โรคระบาดโควิดด้วย เมืองที่ผมอยู่ก็ถูกล็อกดาวน์ลงและก็ซบเซามากช่วงนั้น แต่ผมก็ยังคงทำบล็อกของผมอยู่ แต่ก็ด้วยความซบเซาของเศรษฐกิจ ก็ได้แต่คิดว่า “ก็มันเกิดขึ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

แต่ก็ยังคงทำงานที่บ้านช่วงที่โควิดระบาด แต่ก็ทำบล็อกเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ซึ่งมันก็น่าสนใจดี เพราะว่าปริมาณการค้นหาอย่าง Zoom webinair การประชุมวิดีโอ อะไรพวกนั้นที่ผมเขียนค่อนข้างมีคนสนใจเยอะ

ผมจำได้ว่าซอฟต์แวร์ webinair ที่ผมเขียนมียอดคนอ่านแล้วก็กดลิงก์เยอะมาก ภายในเดือนเดียวผมทำรายได้จาก $2,000 - $25,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะว่าช่วงนั้นคนสนใจเรื่องซอฟต์แวร์และเรื่องเกี่ยวกับ webinair เยอะมากช่วงโควิด

และยังมีโพสต์อื่นๆ บน podcast ก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน แถมยังทำรายได้ประมาณ $8,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยที่ผมไม่ต้องไปทำอะไรมากเลย เพราะว่าผมได้วางแผนการทำงานเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง ตอนนี้ผมก็แค่มาสนใจเรื่องการแนบลิงก์ affiliate ของซอฟต์แวร์เหล่านี้ตามโพสต์ต่างๆ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นขณะที่อยู่บ้านในช่วงโรคระบาด อาจจะต้องทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ต้องขอบคุณช่วงล็อกดาวน์และคอนเทนต์เรื่องซอฟต์แวร์ที่ผมโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ ที่ทำให้รายได้จากการทำบล็อกของผมเพิ่มขึ้นเพราะเมื่อปี 2019 ผมมีรายได้ $200,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ แต่พอมาสิ้นปี 2020 รายได้ผมเพิ่มขึ้นถึง $800,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

Q: มาถึงจุดที่คุณหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากการทำบล็อกและดูจะไปได้ดีสำหรับปี 2020 อะไรเป็นแรงผลักดันให้คุณหันไปทำช่อง YouTube
 

ผมจำได้ว่าจากรายได้ที่ผมทำได้ $80,000 เหรียญต่อเดือนและระบบมันทำงานหาเงินได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นผมจึงคิดว่า “จะหาทำอะไรต่อดี เพราะในสามเดือนนี้อยู่ในช่วงของล็อคดาวน์ รู้สึกเบื่อดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจใหม่เลยที่บ้านนี้ สิ่งที่ผมกังวลคือกลัวว่าจะทำให้ตัวเองกลับไปหดหู่อีกครั้ง เพราะตอนนี้สิ่งที่ผมมีความรู้เกี่ยวกับการตลาดแบบ affiliate และ SEO แต่ยังไม่รู้ในเชิงด้านธุรกิจว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจอย่างไร และผมยังอยากให้ความรู้ถึงทุกขั้นตอนที่ผมรู้ ผมจึงทำช่อง Youtube สอนเกี่ยวกับเรื่อง รายงานจากรายได้ของการทำบล็อก ผมอธิบายให้เห็นถึงวิธีว่าในหนึ่งเดือน ผมทำเงิน $10,000 เหรียญได้อย่างไร และให้คำปรึกษาสำหรับคนที่สนใจ

ผมรู้ว่าการสอนจะเป็นรายได้อีกทาง แต่ผมก็ยังคิดว่า “ผมต้องมีความรู้ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย” ผมทำบัญชีรายชื่ออิเมลทางการตลาดขึ้นมาน่าจะมีประมาณ 40,000-50,000 อิเมล ผมได้จัดอันดับเกี่ยวกับข้อกำหนดวิธีการในการทำบล็อกแต่ยังไม่รู้ว่าจะเอาสิ่งไหนไปเสนอขายคนเหล่านั้น

นั่นจึงทำให้ผมได้พบกันหุ้นส่วนคอลิน (Colin) และ 7 เดือนให้หลังพวกเราก็สร้างโปรแกรมสอนการทำบล็อกขึ้นมา เราทำกลุ่มเบต้าขึ้นมา ทำการตรวจสอบคอนเทนต์และปล่อยเนื้อหานั้นลงในกลุ่ม

คุณรู้ไหมว่ามันยากมากกว่าจะทำวิดีโอที่มีความยาว 10 นาทีขึ้นมาได้ แต่มันก็ช่วยให้ก้าวหน้าขึ้นไป ช่วยให้มียอดเข้าชมเพิ่มขึ้น แลละยังได้ค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

Q: หลักสูตรการทำบล็อกที่คุณเปิดได้ผลลัพธ์ดีอย่างไรบ้าง
 

เดือนมิถุนายนปี 2021 เป็นเดือนสำหรับผมจริงๆ เราเปิดตัวหลักสูตรในเดือนนั้นด้วยรายได้มากกว่า $250,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และผมก็ได้แต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ฟลอริดาอีกด้วย

ช่วงเวลานั้นชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่ได้คิดเลยว่าธุรกิจจากการทำบล็อกหรือการมีแบรนด์เป็นของตัวเองจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะตอนนั้นผมก็ติดปัญหาอยู่กับเรื่องรายได้ของ affiliate กับ SEO จากนั้นก็มาเริ่มสนใจในหลักสูตรธุรกิจ

Q: คุณจัดการธุรกิจสองอย่างให้เติบโตไปได้อย่างไร
 

ผมลงมือทำทั้งสองอย่าง ทั้งเรื่องเพิ่มบล็อกและสอนขั้นตอนในการสร้างและเพิ่มบล็อกทุกขั้นตอนเหมือนที่ผมเคยใช้ เป็นการพัฒนามาเรื่อยมาตั้งแต่มิถุนายน 2021 จนถึงปัจจุบัน จนทำให้ในปี 2021 เรามีรายได้จากการทำบล็อกและหลักสูตรการสอนจบอยู่ที่ $1.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และสิ่งที่เป็นรายได้หลักที่เราได้อยู่ก็มาจากธุรกิจการทำบล็อก แต่ในปี 2021 ถึง 2022 เราตั้งเป้ารายได้เอาไว้ที่ $4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งหมดทั้งมวลที่เรามีมาถึงวันนี้ก็มาจากสิ่งต่างๆ ที่เราทำที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้ ความล้มเหลว เงินลงทุนที่สูญไป และที่สุดคือสิ่งที่เราสอนไปก็สามารถนำไปใช้ได้จริง

Q: ภายในระยะเวลา 3 ปี คุณเริ่มจาก 0 จนมีรายได้ 7 หลัก แล้วคุณยังตั้งเป้ารายได้ให้ถึง $4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2022 ดังนั้น คุณมีเทคนิคอะไรเป็นพิเศษที่ทำให้คุณมั่นใจถึงขนาดนั้น
 

สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือกระแสรายได้ของเราจากหลัก 0 ไปจนถึง 7 หลัก เทคนิคก็คือเราใช้ทุกวิธีที่แตกต่างกันไปเพื่อหาเงิน ด้วยยการมุ่งเน้นการทำธุรกิจเกี่ยวกับคอนเทนต์ อาจไม่ใช่แค่รายได้จาก affiliate อย่างเดียวที่เราได้ แต่เรายังได้รับเงินสนับสนุนเหล่านั้นมาเติมเต็มให้เราอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบ CPC รายได้จากโฆษณา การขายหลักสูตรตามช่องทางอิเมล และโฆษณาในรูปแบบ pop-ups ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราได้มา

Q: เราเห็นได้ว่าช่อง YouTube ที่คุณทำประสบความสำเร็จอย่างมากเกี่ยวกับการทำบล็อก และจากการเติบโตนี้คุณได้แง่คิดอะไรจากการทำธุรกิจ
 

ถ้าดูจากตารางงานของเราในปี 2020 คุณจะเห็นได้ว่า ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำ YouTube ดังนั้น จากการทำบล็อกนี้ ทีมเราเติบโตมากจาก 0 แล้วก้าวกระโดดไปถึง 8 หลักได้ ทุกสิ่งที่เราทำก็เพื่อให้ผู้คนและระบบเข้าที่เข้าทาง

เราผลิตคอนเทนต์มากขึ้น ใส่ใจในสิ่งต่างๆ ที่เราทำมากขึ้น แล้วก็มีรายได้มากขึ้น การทำบล็อกเป็นการที่ต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมากในเรื่องการดูแลบริหารคอนเทนต์ให้ดี เราฝึกฝน เราจ้างบุคลากร ทุกสิ่งพวกนี้เราทำสำเร็จแล้ว และดูเหมือนว่าตอนนี้งานหลักของผมคือการสอน การให้คำแนะนำ การทำวิดีโอบนช่อง YouTube  เพราะเท่าที่รู้มายังไม่มีใครสอนวิธีการพวกนี้ที่จะทำให้คุณมียอดผู้ติดตามได้อีกทางหนึ่งทางจากบล็อกและ YouTube ด้วยเหตุนี้การสร้างเครื่องมือสำหรับสร้างแบรนด์ของตัวเองได้นั้น เป็นพื้นฐานของธุรกิจแบบผสมผสานที่ไร้ขีดจำกัดสำหรับตัวคุณเอง

อิทธิพลอย่างหนึ่งที่เราได้มากจาก YouTube ที่ทำให้เรามีวันนี้ได้ เราได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าสิ้นปีนี้เราจะทำให้ได้ $ 4ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และในอีกสองสามปีข้างหน้าในจะต้องได้มากถึง $10 ล้านเหรีญดอลลาร์สหรัฐฯ

Q: ที่ผ่านมาคุณก้าวหน้าขึ้นมาก เป้าหมายที่คุณตั้งใว้เปลี่ยนคุณไปในระดับที่สูงขึ้นมากแค่ไหน
 

จำได้ว่าเมื่อมองกลับไปเป้าหมายก็เปลี่ยนแปลงมาตลอด เพราะความต้องการตอนแรกอยากมีรายได้จากการทำบล็อกแค่เดือนละ $500 เหรียญก็น่าจะพอแล้ว แต่กลับกลายเป็น $5,000 เหรียญ แล้วมาได้ $10,000 เหรียญ เลยตัดสินใจออกจากงาน แล้วรายได้ก็เพิ่มเป็น $50,000 แล้วมา $100,000 เหรียญ จนมาปัจจุบันฐานรายได้เราเฉพาะจากบล็อกอย่างเดียวอยู่ที่ประมาณ $200,000 ถึง $250,000 ต่อเดือน และดูเหมือนว่ามาวันนี้เราอยากให้รายได้เราเพิ่มเป็น $800,000 ต่อเดือน

ด้วยวิสัยทัศน์และสิ่งที่ตั้งใจทำได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะชีวิตได้ประโยชน์มากขึ้น จากรายได้ $250,000 ถึง $300,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ความน่าตื่นเต้นคือด้านการเติบโต แม้ว่าจะเป็นในระดับเล็กๆ อย่างรายได้ $8,000 ถึง $50,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนถือว่าน้อยมากก็ตาม มันทำให้เห็นว่าระว่างทางจะมาถึงจุดนี้คุณได้เห็นถึงพลังและคุณค่าในตัวคุณมากกว่า

Q: ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณประสบความสำเร็จเป็นบล็อกเกอร์ตามที่คุณตั้งใจแล้ว ก้าวต่อไปคุณจะผลักดันตัวเองไปอย่างไร
 

มันสำคัญมากนะถ้าหากเรารู้ว่าไม่มีเส้นชัย เพราะเราจะไม่รู้สึกกดดันแม้จะทำสำเร็จเพียงเล็กน้อย และทีนี้คุณก็จะรู้แล้วว่าจะตั้งเป้าหมายใหม่อย่างไรเพราะคุณมีประสบการณ์จากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผมไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ เพราะเงินช่วยแก้ปัญหาได้เสมอ แต่ถ้าคุณไม่กำหนดเส้นชัย เลิกผลักดันตัวเอง คุณก็จะพบกับความสุขที่น้อยลงในที่สุด เพราะเราผ่านประสบการณ์ได้เรียนรู้มาอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดีพวกเราก็ประสบความสำเร็จมากกว่าใครหลายคนที่เคยเรียนรู้ด้านนี้มาเมื่อสิบปีที่แล้ว แล้วเราทำได้สำเร็จได้เร็วกว่าด้วย มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เราไม่คิดว่าเราจะทำได้ และเรายังคงรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้และการสอนที่พวกเราทำอยู่ทุกวัน

บทสรุป

จากการสัมภาษณ์ของอดัม เอนฟรอย เราก็ได้ทราบถึงประสบการณ์และเส้นทางการเริ่มต้นจนมาเป็นบล็อกเกอร์เงินล้าน ถ้าคุณอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอดัมมากกว่านี้สามารถติดตามเขาได้ ที่นี่ คุณจะได้รับเนื้อหาสิ่งดีๆ ได้จากรายการของเขา

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?