18 ตุลาคม 2022 0 265

Moiz Ali จากผู้ก่อตั้ง และเป็นนักพัฒนาต่อยอด ที่ได้ขายร้านค้าออนไลน์ให้กับยักษ์ใหญ่ อย่าง (P&G) Procter & Gamble ในราคา $100,000,000

วันนี้เราจะนำบทสัมภาษณ์ของโมอิซ อาลี (Moiz Ali) นักการตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการ e-commerce โมอิสเป็นผู้ก่อตั้งผลิตภัณฑ์ใต้วงแขนอย่าง Native Deodorant ซึ่งได้ถูกซื้อไปโดย P&G ในราคา $100,000,000

การสัมภาษณ์นี้ถูกจัดขึ้นโดยทีมงานในการประชุมที่ AW โมอิส อาลี อธิบายว่า เหตุใดเขาจึงต้องต้องสลับบทบาทตัวเองจากทนายความไปเป็นนักการตลอดออนไลน์ เขาเข้าสู่วงการ e-commerce ได้อย่างไร และเขาสร้างธุรกิจและขยายธุรกิจออกไปได้อย่างไร และออกจากแบรนด์ของตัวเองทำไม ในขณะที่ตอนนั้นเขามีเงินเดือนถึง 9 หลัก ในบทความนี้มีเนื้อหาครอบคลุมมากมาย เราหวังว่าคุณจะได้รับคำแนะนำจากบทสัมภาษณ์นี้

คุณมาเริ่มอาชีพนี้ได้อย่างไร หลังจากที่คุณจบการศึกษาด้านกฏหมายที่ฮาร์วิร์ด?
 

ผมจำได้ในปีนั้นที่ผมกำลังจบการศึกษาที่โรงเรียนกฎหมายฮาร์เวิร์ด พี่ชายของผมสุลัยมาน (Suleman) ได้ขายบริษัทแรกของเขาชื่อบริษัทTiny Co ที่กลบข่าวจบการศึกษาของผมไปเลยในปีนั้น เขาเป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมาก เขาสร้างแอปโทรศัพท์ชื่อ free-to-play ให้กับ Iphone และ Android  เขาจะชอบพูดเรื่องตัวเลขอยู่เรื่อยๆ และผมก็ชอบฟังอะไรพวกนั้นที่เขาพูดนะ อย่างเช่น เดือนๆ นึงจะมีคนเข้าใช้มากแค่ไหนกันนะ? ในแต่ละวันจะมีคนเข้าใช้กี่คนกันนะ? อะไรจะทำให้เกิดรายได้ และอะไรทำแล้วไม่เกิดรายได้? แต่สำหรับผม นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากว่าเรื่องกฏหมายที่ผมเรียนซะอีก

การทำงานด้านกฏหมายไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรเลย พี่ชายและพ่อของผมจะชอบถามผมเสมอว่า "ทำไมผมชอบทำงานให้คนอื่น? ลูกรู้ไหม ว่าเราสามารถทำงานให้ตัวเราเองได้ ลูกจะไม่มีโอกาสได้เป็นเศรษฐีถ้าลูกยังทำงานให้คนอื่นอยู่" ในที่สุดเพื่อนผมคนนึง สตีเวน แอ๊บท์ (Steven Abt) ที่เรียนกฏหมายด้วยกันกับผม เราจะชอบคุยเรื่องทำธุรกิจ และเขาได้ลาออกจากการเป็นทนาย และมาเริ่มธุรกิจออนไลน์ เมื่อปี 2012 เราก็มาเจอเข้ากับ Caskers ซึ่งขายเหล้าออนไลน์โดย Native..

 ธุรกิจตัวแทนการตลาดออนไลน์และผู้ก่อตั้ง e-commerce มาเริ่มที่ซิลิคอนแวลลี่ย์ ได้อย่างไร? และการหาผู้ร่วมลงทุนมากมายมาหนุนหลังให้ได้อย่างไร?  แล้วชีวิตการเริ่มต้นของ Cocktail party ที่ซิลิคอน วอลเล่ เกิดขึ้นได้อย่างไร? คุณคงจะไม่ทำตัวแปลกประหลาดจากคนอื่นเขาที่ ซิลิคอน วอลเล่นะ?
 

ตอนนั้นผมรู้สึกอายจริงๆ เพราะมีคนอื่นมาระดมเงินทุนซึ่งทำให้เราดูเหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ผู้คนมักคิดว่า สิ่งที่พวกเราทำนั้นผิด และดูไม่น่ามองเลย แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เพราะนักลงทุนทั้งหลายที่เขาชอบก็มี และทำให้ผมมีความสุขไปด้วยในฐานะผู้ร่วมหุ้น  ชีวิตที่ ซิลิคอนแวลลี่ย์นั้น ผมหวังว่าผู้ร่วมก่อตั้งทั้งหลาย จะโฟกัสไปที่ผลตอบแทนที่จะได้มา มากกว่าจะไปโฟกัสกับการสร้างธุรกิจใหม่ที่ใหญ่และหวังจะทำเงินแค่อย่างเดียว

คุณจัดการกับความกดดันภายนอกที่ซิลิคอนแวลลี่ย์ได้อย่างไร? คุณจับตามองเส้นทางของคุณอย่างไร โดยที่ไม่เกิดผลกระทบกับสภาพแวดล้อมที่นั่น?
 

ผมขอตอบตามตรง ตรงนี้เลยนะว่าจริงๆ แล้วก็เกิดผลกระทบกับผมที่นั่นเหมือนกัน คุณรู้ไหม ผมกลับมาบ้านพร้อมด้วยเครื่องดื่มพวกนั้นจากงานปาร์ตี้ แล้วผมก็ถามตัวเองว่า "เอ๊ะ นี่ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? หรือฉันสมควรจะหาระดมเงินทุนเพิ่มดีไหม?"

 เราได้นัดคุยกับผู้ร่วมลงทุนจำนวนมากที่ ซานฟรานซิสโก เพราะผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำอยู่อาจจะผิดเส้นทางไปหน่อย ซึ่งผมก็พยายามมองว่าเราจะมีโอกาสทำได้ไหม ที่จะได้เช็คจำนวน $100,000,000 นั้นมา

และแน่นอนที่สุด เราก็ได้เงินก้อนนั้นมามาจริงๆ แต่คุณก็ต้องดูด้วยว่าอะไรมันสำคัญสำหรับคุณ สำหรับผม ผมอยากจะออกจากธุรกิจนี้ และก็หาทางออกที่ดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ผมไม่ได้อยากจะทำงานตรงนั้นไปอีก 25 ปีข้างหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจก็ขึ้นๆ ลงๆ หมุนเวียนไปอย่างนี้ สิ่งที่ผมต้องการก็แค่อิสระ

จากความเชื่อตรงนั้นผมได้อะไร มันก็ทำให้เงินในบัญชีของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เราเริ่มจากเงินสดจำนวน $500,000 จากผู้ลงทุนทั้งหมดในธุรกิจนี้ เมื่อเราเริ่มขายธุรกิจ ผมคิดว่าพวกเราน่าจะมีเงิน $10 หรือ $12 ล้านดอลลาร์เป็นเงินสดในบัญชีของเรา และผมก็เป็นเจ้าของเงินในบัญชีส่วนใหญ่เสียเอง ผมรู้ว่าอะไรก็ตามที่เราทำตอนนั้นมันถูกต้องแล้ว ทำไมเราจะทำเงิน $12,000,000 หลังจากสองปี ที่เราลงทุนไป $500,000 ในตอนนั้นไม่ได้หละ? จะให้ผมผิดพลาดได้ยังไง? และนั่นก็ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นไปอีก ผมมักจะพูดเสมอว่า อะไรที่ผมทำลงไปถูกต้องเสมอ ส่วนของคนอื่นคือผิดหมด
 

ธุรกิจ e-commerce ที่ซิลิคอนแวลลี่ย์ จะมีวิธีการเปลี่ยนแปลงวิธีการหรือไม่? โดยเฉพาะเรื่องเงินทุน?
 

โดยพื้นฐานแล้ว พวกนักลงทุนทั้งหลายเขาก็ฉลาดในเรื่องนี้กันอยู่แล้ว พวกเขาชอบมองหาทางออก คุณรู้ไหม พวกไม่มีแบรนด์เขาไม่มีทางออกที่ดีเลย อย่างแบรนด์ของ Outdoor Voices เขาได้รับผลกระทบในช่วงก่อนเกิด Covid  การรับมือกับสถานการณ์ช่วงนั้นทำให้เรามาตระหนักดีว่าธุรกิจ e-commerch ที่ส่งตรงถึงผู้บริโภค อาจจะไม่ใช่ธุรกิจแบบร่วมลงทุนแบบเดียวกันกับธุรกิจประเภทอื่นๆ

ผมคิดว่าในปัจจุบันนี้การร่วมลงทุนเหมือน "ธุรกิจตัวนี้มีความยืดหยุ่นอย่างไรบ้าง และอะไรคือ กลยุทธ์ของทางออกของธุรกิจนี้?" ธุรกิจนี้แทบจะหาเงินทุนได้ยากเมื่อผู้ลงทุนตั้งเป้าจะคิดหาแต่คำตอบในอีก 15 ปีข้างหน้า นั่นย่อมไม่โอเคสำหรับใครอีกแล้ว พวกเขาจะถามว่าเมื่อไหร่ธุรกิจจะได้ดำเนินการและอะไรคือเส้นทางที่แท้จริงในการทำกำไร? ซึ่งมันจำเป็นจะต้องเห็นทางออกใน 2-5 ปีข้างหน้า ไม่ใช่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผมคิดว่าโควิดทำให้บางธุรกิจนำหน้าไปออกไป 2-3 ปีเลยนะ

สำหรับคุณ มอยซ์ คำว่าทางออกมันเหมือนกับถูกเรียกเป็นชื่อและแบรนด์ประจำตัวของคุณซะแล้ว สำหรับทางออกก่อนหน้านี้ คุณอ้างถึงตำแหน่งของ Native คุณเอาความคิดนี้มาจากไหน? หรือมันเป็นเพราะการเป็นหุ้นส่วนทางกฏหมาย?
 

จากแนวคิดของผม ผมเห็นธุรกิจของพี่ชายตอนที่เขาทำบริษัท TinyCo ต้องผ่านเศรษฐกิจที่่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักใหญ่ทางบริษัทก็ระดมทุนได้ถึง $18,000,000 และก็ผ่านเส้นทางอันน่าทึ่งนั้นมาได้ แต่ทันใดนั้นก็เกิดความทุลักทุเลให้ต้องรักษาแรงโน้มถ่วงบริษัทเอาใว้ พวกเขาจึงต้องปลดพนักงานออก มีหนี้เพิ่มขึ้นและพี่ชายผมก็เกิดความเครียดมากในตอนนั้น มันมีคำถามมากมายเช่น "ธุรกิจตัวนีจะดำเนินไปได้ดี หรือไม่? เขาใช้เวลาหลายปี กว่าจะทำธุรกิจให้กลับมาสำเร็จได้อีกครั้ง

ดังนั้น จากแนวคิดของผม ผมรู้ว่ายังไงผมก็ต้องเจอสถานการณ์แบบนั้นบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากจะระดมเงินทุนตั้ง $40,000,000 และทำไมผมจะต้องมาลำบากทำงานแทบตายภายใต้เงินจำนวนนั้นด้วย

ผมอยากให้ธุรกิจของผมได้เริ่มต้นเรียนรู้และประสบความสำเร็จขึ้นไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมทำมา แต่ในตอนนั้น ผมก็พึ่งมาเข้าใจข้อเท็จจริงว่า ผมไม่มีความมั่นใจเลย ว่าผมจะระดมทุนได้ถึง $18,000,000 หรือไม่ ลูกค้าไม่ได้เขียนเช็คให้ผมเลยตอนที่เริ่มขายผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายออนไลน์ หลายๆคนยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าธุรกิจของผมจะทำกำไรได้ตั้งแต่เริ่มต้น พวกเราทำเงินได้มหาศาล เราสามารถมีเงินจ่ายค่าจ้างพนักงาน พวกเราไม่ต้องไปกังวลอะไรเรื่องพวกนั้นเลย ในบางครั้ง ผมเคยคิดว่า "ก็ดีนะ ถ้ามีคนนำเงินมาให้ผมเป็นเงินทุน

$30,000,000 หรือจะแค่ $10,000,000 ผมจะทำยังไงกับเงินก้อนนี้ดีนะ?" พวกเราประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเท่าที่เราสามารถทำได้ ในตอนนั้นพวกเราเจาะทุกช่องทางการตลาด ผมมองไม่ออกเลยตอนนั้นว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม $10,000,000 ไปเพื่ออะไร แล้วมันจะทำให้เราไปถึงจุดไหน?

ฟังแล้วเป็นตำแหน่งที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ เห็นได้ชัดเจนว่าคุณเคยพูดว่าคุณเริ่มต้นจากการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากตรงนั้น อะไรคือโครงสร้างพนักงานของคุณ? แล้วหน่วยงานภายนอกคืออะไร? คุณพึ่งพาอะไรมากที่สุดในแง่นั้น จากการที่มีพนักงานประจำแล้วการจ้างจากภายนอกให้ทำอะไร?
 

เราจ้างคนจากภายนอกน้อยมาก เรามีตัวแทนใว้บริการลูกค้า 5 คนด้วยกันทำงานในออฟฟิศ พวกเราก็มีจ้างภายนอกด้วยเช่นกันแต่น้อยมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว พนักงาน 5 คนที่เรามีเขาทำหน้าที่ตอบคำถามลูกค้าทั้งหมด ทำให้เกิดรายได้จากการโฆษณาไปในตัว ไม่ใช่แค่ทำการโฆษณาให้เกิดขึ้นในบริษัทแค่นั้น เรายังจัดปล่อยโฆษณาบน Facebook และ Pinterest ด้วยนะ ผมจ่ายเงินมากกว่า $30,000,000 ในการโฆษณาบน Facebook และผมก็รู้สึกว่ามันได้ผล  ที่จริงแล้วไม่มีใครเลยในทีมที่เคยสัมผัสกับการโฆษณาบน Facebook ตลอดเวลาที่เราดำเนินบริษัทเรามา ก่อนที่จะถูกซื้อไป พวกเราเป็นทีมที่ทำอะไรจริงจัง

 

ฟังดูน่าประทับใจมาก! คุณไปเอาทักษะในเรื่องการซื้อสื่อมาจากไหน? หรือคุณเรียนรู้มาจาก Youtube หรือแอบเรียนรู้กันเองในกลุ่มผู้ซื้อใน Facebook?
 

ไม่เลย! เราใช้เวลาในการทดลองนานมากและยังไม่ได้ผลด้วยซ้ำ ลองคิดดูเมื่อคุณใช้เงิน $500 ไปกับการโฆษณาบน Facebook แต่ผลมันออกมาไม่ได้สวยเท่าไหร่ คุณจะรู้สึกว่า "ผมไม่ควรจะรู้เรื่องโฆษณานี้นะ หลังจากที่เสียเงินไป $500" ผมควรจะได้กินมื้อเย็นดีๆ สักที่ หรืออาจจะได้รองเท้าจอร์แดนหลายคู่ แต่ผมดันมาเสียเงินไปกับโฆษณา ภายในชั่วโมงเดียว หรือไม่ก็อาจจะทั้งวัน และเงินทั้งหมดนั้น Mark Zuckerberg ก็เป็นคนได้มันไป ผมสมควรที่จะเรียนรู้พวกนี้ให้ดีกว่านี้ ไม่งั้นผมก็ต้องเสียทั้งเงินและเวลาไปแบบนี้

อะไรคือกลยุทธ์ในการซื้อสื่อของคุณ? คุณพอจะเล่าเรื่องราวภายในให้เราทราบได้ไหมว่าคุณเข้าใกล้การซึ้อโฆษณาได้อย่างไร?
 

แต่มันก็ไม่ได้เสียไปทั้งหมดหรอก พวกเราแค่ตั้งใจทำมันจริงๆ ผมคิดว่าไม่มีเอเจนซี่คนไหนที่อยากจะให้ค่าอาหารกลางวันของตัวเองโดนต้องถูกยกเลิกไปเหมือนที่คุณเคยได้อยู่ประจำ ผมก็ให้ความสม่ำเสมอกับโฆษณาแบบนั้นเหมือนกัน ในตอนแรกเราพยายามใช้คนดูเพื่อสร้างคอนเทนต์ เมื่อย้อนกลับไปปี 2016 เรามีลูกค้าที่อัดวีดีโอขณะที่กำลังใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นใต้วงแขนของ Native แล้วเราก็ใช้วีดีโอตัวนั้นไปทำโฆษณาบน Facebook ซะเลย เราได้รับข้อคิดเห็นมากมายจากคนใช้ในโฆษณาของ Facebook ผมคิดว่าตอนนั้นที่เราทำก็คงเหมือนกับที่คนทำกันในปัจจุบันนี้ เราให้ความสำคัญกับมุมมองและเนื้อหาที่ผู้ใช้จริงแสดงออกมา


คุณใช้วิธีการอะไร ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจและกลับมาใช่้สินค้าอีก?
 

ในประมาณครึ่งปีแรกของการทำธุรกิจ ผมส่งอิเมล์ทุกฉบับถึงลูกค้าทุกคนด้วยตัวผมเอง เพื่ออยากจะรู้ว่าลูกค้าไม่ชอบอะไรในผลิตภัณฑ์ของเราบ้าง และมีอะไรบ้างที่เราจะสามารถทำให้มันดีขึ้นไปอีก ซึ่งมันก็มีซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งชื่อ Trello ที่ผมใช้สำหรับเขียนอิเมล์และวิเคราะห์ข้อมูล มันมีคุณสมบัติในการวิเคราะห์ที่ทำให้เราเข้าใจกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นว่าพวกเขาทำการซื้อ และเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะมาซื้ออีกครั้ง ทำให้เรามีข้อมูลว่าพวกเขาซื้อมากแค่ไหน มันช่วยให้คุณเข้าใจได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าคุณผลิดสินค้าออกมาดีหรือไม่ดีก็ตาม

ดังนั้น ตอนที่เราขายธุรกิจของเราไป เรารู้ได้เลยว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน ไหนจะจำนวนรายได้ จำนวนข้อมูล หรือจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละเดือน ลูกค้าของเราส่วนมากใช้จ่ายเงินมากมาย บางคนใช้จ่ายมากกว่าที่หามาได้ทั้งชีวิตซะอีก ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเราในเดือนปัจจุบันมีค่ามากกว่าลูกค้าที่เคยซื้อของเราไปเมื่อเดือนก่อน เพราะมันจะเกิดขึ้นน้อยมากสำหรับธุรกิจ

เราขายสินค้า AOV ราคาต่ำมาก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ตลอดเวลาหรอก พวกเราต้องหวังพึ่งให้ลูกค้าหวนกลับมาซื้อธุรกิจเราอีกครั้ง เราเริ่มเปลี่ยนจากอัตราการซื้อซ้ำ 20% ในช่วงต้นของธุรกิจเป็นมากกว่า 50% โดยการจัดการกับผลิตภัณฑ์ของเราและดำเนินการตามกลยุทธ์การรักษาลูกค้า

น่าทึ่งมาก! คุณเคยสร้างโปรแกรมระบบแนะนำสินค้า หรือใช้คนดังเป็นตัวแทนของสินค้ามั่งไหม?
 

เรามาเริ่มทำตรงนี้ก็ช้าไปแล้ว ผมคิดว่าผมน่าจะเริ่มทำตอนที่มีรายได้ประมาณ $1,000,000 /เดือนนะ ผมจำได้ว่า ผมเคยคุยกับแผนกแนะนำสินค้าว่าเราควรจะเริ่มทำเมื่อไหร่ แต่พวกเขาตอบว่า "เราควรจะทำตอนที่มันทำรายได้เดือนละ $100,000 นะ" แต่ผมก็มาเริ่มทำตอนที่รายได้คูณเข้าไป 10 เท่าไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำนะ.

โดยทั่วไปแล้วระบบตัวแทนนี้จะสร้างรายได้ 4% จากรายได้สุทธิ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างชัดเจนเหมือนเริ่มต้นธุรกิจมาจาก $10,000,000 กลายมาเป็น $30,000,000 เมื่อมองกลับไปตอนนั้นก็เพราะระบบอ้างอิงของเราเอง ดังนั้น ผมก็คิดว่าดีนะแต่ก็ไม่สำคัญสักเท่าไหร่

เมื่อตอนที่คุณเข้ามาทำอุตสหกรรมระงับกลิ่นกายและมันโดนแทรกแซงไปอย่างสิ้นเชิง อะไรเป็นสัญญาณให้คุณรู้ก่อนที่เข้ามาทำในอุตสหกรรมนี้?
 

ผมมองหาอุตสหกรรมนี้เมื่อตอนที่ผมคิดว่ายังไม่มีใครทำสิ้งนี้มาก่อนในตอนนั้น ซึ่งมันยังมีพื้นที่เหลือในตลาดมากมาย แต่สำหรับผม ที่ผมเลือกทำอันนี้ก็เพราะผมต้องการที่ใช้ ในตอนนั้นมันหายากมาก ซึ่งมันสมควรจะมี ผมยังจำผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายได้ ผมต้องการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ ผมทำการค้นคว้า และพบว่าไม่ยี่ห้อไหนเลยที่จะทำผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายมาจากธรรมชาติ และนั่นแหละคือจุดกำเหนิดของ Native Deodorant.

คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับคนที่ติดปัญหาในโหมดการวิเคราะห์จนไปต่อไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดตัวธุรกิจที่แม้ว่ามีตลาดรองรับอยู่แล้ว และมีคำแนะนำอะไรให้กับคนที่คิดมาก ติดอยู่ในหัว และไม่สามารถนำสินค้าออกสู่ตลาดได้จริงๆ?
 

ผมคิดว่าพวกเขาควรจะลงมือทำและปล่อยสินค้าออกไปเลย ในวันนี้พวกเขาควรจะเปิดตัวไปเลย และหยุดโทษตัวเองที่ยังขายไม่ได้ เพราะมันอาจจะกลายมาเป็นรายได้หลักของเราสักวันหนึ่ง การสร้างเพจขึ้นมาและเริ่มขายสินค้าในนั้น แม้ว่าคุณจะยังผลิตสินค้าไม่เสร็จก็ตาม คุณสามารถทำให้เป็นการจองพื้นที่สินค้าใว้ก่อนก็ได้ ถ้าคุณทำให้มันเกิดขึ้นได้ คุณก็ทำให้เป็นรูปร่างในอาทิตย์ต่อมาเลย ถ้าคุณทำมันไม่สำเร็จ คุณก็แค่คืนเงินทั้งหมดให้ลูกไป และมันจะทำให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้นว่ามันใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ผล

ปล่อยสินค้าออกไปแล้วมาคอยดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ตอนเราปล่อยสิ้นค้าระงับกลิ่นกายครั้งแรก เราได้ยอดจากที่ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำเพิ่มขึ้น 20% สิ่งนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่าสินค้าของเราเป็นที่ต้องการของตลาด และนั่นแหละเราก็มาขายสินค้าของเราบนตลาดออนไลน์ มันใช้ได้กับราคาขายที่ $12 แต่ในตอนแรกสินค้าของเรายังคุณภาพดีไม่พอที่จะสร้างให้ธุรกิจมันใหญ่ขึ้นไปอีกได้ สิ่งที่พวกเราทำได้คือพัฒนาคุณภาพของสินค้าของเรา

ในที่สุดเราก็ปล่อยขายสินค้าของเราแม้ว่าในตอนนั้นเราจะไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่ ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายของเราดีกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนมาก ทำให้เราตระหนักได้ว่าเราต้องยอมรับเสียงตอบรับจากการปล่อยสินค้าของเราสู่ท้องตลาด มันไม่มีข้ออ้างอะไรที่ไม่ทำสิ่งนั้น

ตอนที่คุณมีไอเดียอะไรดีๆ หรือต้องตัดสินใจอะไร คุณมีใครอยู่ข้างคุณบ้างในตอนนั้น? คนประเภทไหนที่คุณปรึกษาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน?
 

เมื่อตอนที่เราทำ Native ผมก็จัดงานเลี้ยงอาหารมื้อสายเดือนละครั้งทุกวันอาทิตย์ เพื่อเป็นการพบปะผู้คนในอุตสหกรรม e-commerce ออกจะดูบ้าไปหน่อยเพราะตอนนั้นธุรกิจเริ่มต้นแค่ $50,000 แต่มาตอนนี้ธุรกิจทำได้ถึง $200,000,000 นั่นทำให้เห็นว่าเกิดจากการที่พบปะกันตอนร่วมรับประทานอาหารของเหล่า e-commerce ดูเหมือนว่าจะมีพวกเราอยู่ในทุกๆ ที่และพวกเราก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทุกๆ คนมีมีปัญหาคล้ายๆ กัน เราจะขยายตลาดของเราอย่างไร? เราจะขยายการผลิตได้อย่างไร? อะไรเป็นสิ่งที่ท้าทายในการบริหารจัดการสินค้าและบรรจุภัณฑ์สินค้าที่พวกเราเจอปัญหามา?

มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การที่ได้เข้าสังคมแบบนั้น สำหรับผมยังจดจำได้ดีตอนที่เข้าร่วมรับประทานอาหารคลุกคลีกับคนเหล่านี้ทุกวันอาทิตย์ และเวลาที่เหลือในวันอาทิตย์ ผมมักจะทำงานต่อเพราะผมพึ่งจะได้ไอเดียดีๆ 12 อย่างที่มาจากคนเหล่านี้ ผมชอบทำงานพวกนั้นนะมันเป็นแรงบันดานใจของผมจริงๆ  ผมรู้สึกชอบนะเวลาที่คนรู้สึกตื่นเต้นกับธุรกิจของเขา ผมก็รู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับธุรกิจของผมเหมือนกันจริงๆ มันนำมาซึ่งความชื่นชอบ

สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนามาเป็นการเปิดตัว podcast ใหม่ของคุณใช่หรือไม่?
 

ผมได้ปล่อย podcast ของผมที่เรียกว่า กลยุทธ์ของทางออก มันพัฒนาไปถึงตรงนั้นไหม? ผมอยากจะบอกว่าก็พัฒนาเล็กน้อย คำถามมากมายที่ผมถามในขณะที่ถ่ายทอดเสียงออกไป ก็เหมือนกับคำถามที่ผมเคยถามเมื่อตอนกินอาหารว่า "คุณใช้การตลาดช่องทางไหน? คุณจะขยายมันได้อย่างไร? คุณประสบกับปัญหาใดอยู่? คุณจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร?

มันสนุกมากที่ได้สัมภาษณ์คนเยอะแยะในขณะที่ออกอากาสในช่องของผม คนส่วนมากก็เป็นพวก e-commerce เมื่อก่อนนี้ทำให้รู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับเขาอีกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่ได้กลับมาพบปะพูดคุยกับคนเหล่านี้อีกครั้งหลังจากที่ผมเคยอยู่ด้วยกันกับพวกเขานานมาแล้ว

ตำแหน่งของคุณไม่เหมือนใครเลยหลังจากที่คุณออกมาจากธุรกิจตรงนั้น ตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอย่างอื่นอยู่หรือเปล่า หรือว่าพักอยู่?
 

ตอนนี้ ที่แน่นอนผมก็กำลังทำ podcast ให้คำแนะนำบางธุรกิจ แล้วก็กำลังจะลงทุนทำธุรกิจบางอย่าง ผมได้ลงทุนทำบริษัทเกี่ยวกับชุดชั้นในของผู้หญิงเรียกว่า Pepper ซึ่งผมตื่นเต้นมาก มันเริ่มจากผู้หญิงสองคนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยธุรกิจนิวยอร์ค มันสนุกมากได้เห็นพวกเขาเติบโต พวกเขาจัดการบริหารเก่งกว่าผมตั้ง 10 เท่า ดีใจมากที่ได้เห็นอย่างนั้น

บทสรุป

เราขอขอบคุณ คุณมอยซ์ อาลี และทีมงาน จากการประชุม AW มากๆ สำหรับข้อมูลการสัมภาษณ์ คุณมอยซ์ใจกว้างมากที่มาแบ่งปันขุมทรัพย์ของความรู้และพวกเรา เชื่อว่านักอ่านทั้งหลายของเราคงได้ประโยชน์ และเทคนิคมากมายจากการอ่านบทความนี้

คุณรู้สึกอย่างไรกับบทความนี้?