เมื่อคุณกำลังมองหาวิธีที่จะทำเงินจากการทำบล็อก สิ่งที่คุณเคยได้ยินมาก็จะมี การตลาดแบบ affiliate รายได้จากโฆษณา การขายคอร์สต่าง ๆ หรือแม้แต่การเป็นผู้สนับสนุนบทความต่าง ๆ เพื่อหารายได้ แต่ในปี 2022 ก็ยังไม่มีอะไรใหม่ที่จะทำให้คุณหาเงินได้มากขึ้น หรือช่วยให้บล็อกของคุณทำเงินได้ในระดับที่มากขึ้น
ในบทความนี้ เราจะมาแบ่งปันกลยุทธิ์การทำเงินให้กับบล็อกของคุณในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปอย่างที่ อดัม เอนฟรอย์ (Adam Enfroy) นำไปใช้กับบล็อกของเขาและนั่นทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า $200,000 ดอลลาร์/เดือน จากบล็อกที่เขาทำใว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
นี่ไม่ใช่แค่วิธีการขุดเงินออกจากพื้นหรือการพยายามจัดอันดับเพื่อให้มีรายได้จากโฆษณา นี่คือวิธีที่คุณจะรู้ว่าคอนเทนต์ของคุณนั้นมีมูลค่าขนาดไหน คุณสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น โดยการเปลี่ยนบล็อกของคุณให้มันกลายเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง
เมื่อเราพูดถึงการหาเงินจากบล็อก เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คอนเทนต์ของเรานั้นดีแค่ไหน ตอนที่อดัมเริ่มทำบล็อกของตนเองเมื่อเดือนมกราคม ปี 2019 เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ affiliate เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คำแนะนำ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป ทำให้เขาได้รับผลกระทบแบบก้อนหิมะจากการที่เขียนคอนเทนต์ใส่เอาไว้มากมายในบล็อกของเขา จนทำให้เขาตกอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้มากมาย
และแน่นอน เขายังทำเงินได้จากข้อเสนอของ affiliate และโฆษณาครั้งแรกอีกด้วย สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นจนทำให้เขาสนใจที่อยากจะเรียนรู้การทำเงินจากไซต์ของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก ด้านล่างนี้คือคำอธิบายของเขา
นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ไซต์ของเขาเผยแพ่ podcast ของเนื้อหาจากบล็อกของเขาเอง:
“ผมเขียนคอนเทนต์บน “The best podcast hosting sites” น่าจะประมาณ 6 ถึง 9 เดือนที่ผมเริ่มเขียนบล็อกและมันก็เริ่มมีการจัดอันดับบนหน้าเพจสำหรับ podcast ของ Google ผมได้เข้าร่วมโปรแกรม affiliate ประมาณ 3 ถึง 5 โปรแกรม และเพิ่มลิงก์ไปที่บทความ มันเริ่มทำเงินให้เดือนละ $100 ดอลลาร์/เดือน จากนั้นเป็น $200 มากถึง $400 ดอลลาร์/เดือน
เหตุที่อันดับของผมติดอยู่ใน 3 อันดับแรกบน Google ในปี 2019 ก็ได้มี 1 ในบริษัทติดต่อผมมาพร้อมข้อเสนอว่า “ เราจะขอจ่ายเงินให้คุณ กับการใส่อันดับที่ 1 ให้กับคอนเทนต์ของคุณ?” ตอนนั้นผมกำลังเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอิตาลี และผมก็ตอบ “ ตกลง และถามว่า คอนเทนต์ของผมมันดีแค่ไหน? แล้วมันจะได้เท่าไหร่?”
แล้วเราก็มาเริ่มต่อรองข้อตกลงที่พวกเขายินดีที่จะจ่ายให้ $5,000 ดอลลาร์/เดือน และนั่นก็เป็นบทสนทนาเดียวผ่านอิเมล” อดัม กล่าว
จากเหตุการณ์นี้ทำให้รายได้ของอดัมเพิ่มขึ้น จึงทำให้เขามองหาผลประโยชน์ที่จะได้จากกลยุทธิ์ของคอนเทนต์ที่เหลือของเขา เท่าที่เขาเข้าใจว่าคอนเทนต์น่าจะทำเงินได้มากเท่าไหร่ เขาจึงตัดสินใจส่งอิเมลไปถึงบริษัทต่าง ๆ ที่เขาจดรายการเอาใว้เพื่อเสนอขายพื้นที่อันดับหนึ่งของคอนเทนต์ต่าง ๆ บนไซต์ของเขา
วิธีนี้จะแตกต่างจากการตลาดแบบ affiliate ทั่วไปเล็กน้อยหรือการวางโฆษณาและวิธีการสอนของคนอื่น หลังจากที่อดัมปิดการขายได้จากการวางตำแหน่งแรกของ podcast มีเนื้อหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ เขาทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อค้นหามูลค่าของบทความรายการซอฟต์แวร์ยอดนิยมของเขาตามกลุ่มต่าง ๆ จากนั้นเข้าก็เจอบริษัทชั้นนำและได้เสนอขายพื้นที่ตำแหน่งสูงสุดให้พวกเขา
อดัมเล่าให้เราฟังว่าเขาสามารถใช้กลยุทธ์การสร้างรายได้นี้กับโพสต์รายชื่อซอฟต์แวร์อื่น ๆ โดยเริ่มจากบทความรีวิวซอฟต์แวร์ของ VoIP
อดัมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ VoIP ว่าดีที่สุด และติดอันดับ 4 ใน Google สำหรับผู้ให้บริการ VoIP ที่ดีที่สุด ทำให้มียอดเข้าชมมากถึง ประมาณ 2,800 ครั้ง/เดือน
จากนั้นอดัมก็ได้เข้าร่วมโปรแกรม affiliate ของ VoIP อีกจำนวนมาก ซึ่งบางคนจ่ายแบบราคาต้นทุนต่อหนึ่งการขาย แต่ในขณะที่บางคนจ่ายเมื่่อมีคนมาเป็นลูกค้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับโปรแกรม affiliate และระดับของ traffic ซึ่งส่วนนี้ทำเงินให้เขาแค่เดือนละ $500 ดอลลาร์
หลังจากนั้นไม่นาน อดัมก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่า และเขาน่าจะทำเงินได้มากกับเนื้อหาแบบนี้ ดังนั้น เขาจึงทำการค้นคว้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และก็ขุดลึกลงไปในรายละเอียด จนทำให้เขาเข้าใจได้ดีว่าบทความของเขานั้นมีค่าแค่ไหน
อดัมใช้คีย์เวิร์ด “best VoIP” ซึ่งทำให้เขาได้อันดับที่ 1 และเขาได้ใส่ข้อมูลนี้ลงใน Ahrefs และได้ตรวจสอบราคาโดยทั่วไปต่อหนึ่งคลิกของ AdWords นี่เป็นสิ่งที่นักทำโฆษณาต้องการจ่ายเพื่อโปรโมตบน Adwords สำหรับคีย์เวิร์ด “best VolP” ทาง Ahrefs ได้แสดงให้เห็นราคาที่ได้คือ $16 ดอลลาร์ ต่อ CPC และเขาได้คิดค่าเฉลี่ยราคาค่าโฆษณาที่จะต้องจ่ายได้ดังรูปภาพด้านล่างนี้
จากนั้นเขาก็ไปทำแบบเดียวกันกับเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดของ Google ที่นี่เองที่เขาได้เห็นค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อคลิกที่ $14 ดอลลาร์ และได้เห็นราคาเสนอที่สูงสุดถึง $82 ดอลลาร์ สำหรับคลิกเดียว”
นั่นหมายความว่าทาง VolP ยินดีที่จะจ่ายเงินระหว่าง $14-$82 ดอลลาร์ ต่อการคลิกคีย์เวิร์ด “best VolP” ตามที่ราคาเสนอที่ปรากฏอยู่บน Adwords
แผนของอดัมในตอนนี้คือการค้นหาว่าเขาจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่ากับแบรนด์อย่าง VoIP ได้อย่างไร และยังคงมีรายได้ในฐานะตัวแทนอีก
ก่อนอื่นใด เขาจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์อะไรที่ทำเงินได้ดี และต้องรู้ด้วยว่าต้องคลิกที่ลิงก์ affiliate เท่าไหร่จึงจะได้เป็นรายได้จากตำแหน่งแรก
ดังนั้น เขาจึงไปดูการวิเคราะห์ของ Google และได้เห็นบทความผู้ให้บริการ VolP มีการเข้าดูที่หน้าเว็บถึง 2,850 ครั้งต่อเดือน
ดังนั้น เขาจึงสมมุติว่าถ้าเขาได้จากการที่คนคลิกที่ลิงก์ affiliate ประมาณ 30% ของ traffic ที่ถูกวางอยู่ในอันดับแรก จากการคำนวณอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่า เขาเข้าใจแล้วว่าบทความนี้น่าจะสร้างการคลิกอย่างน้อย 865 ครั้งสำหรับลิงก์ affiliate ที่อยู่ในตำแหน่งแรกได้ดังนี้
2,850 * 30% = 865 คลิก
ขั้นตอนต่อไป อดัมได้อ้างอิงถึงต้นทุนต่อการคลิกสำหรับคีย์เวิร์ดบน Google Adwords และจากนั้นก็ติดต่อบริษัทต่าง ๆ เพื่อขายคลิกให้พวกเขาที่อัตรา CPC ถูกกว่าของ Adwords
ราคาของคีย์เวิร์ด CPC บน Adwords มีราคาอยู่ที่ $16 ดอลลาร์ ดังนั้น อดัมจึงติดต่อไปที่แบรนด์ของ VolP เพื่อเสนอราคาแค่ $8 ดอลลาร์ต่อการคลิกบนพื้นที่เว็บไซต์ของเขาเอง โดยการคูณต้นทุนที่ $8 ดอลลาร์ต่อคลิก และจำนวนคลิกที่บทความจะสร้างจากตำแหน่งแรกอยู่ที่ (865 คลิก) ทำให้เข้าใจได้ว่ามูลค่าของตำแหน่งนั้นคือ $6,924 ดอลลาร์
อีกสองสามสัปดาห์ต่อมา เขาได้ขายตำแหน่งที่หนึ่งให้กับบริษัทในราคา $6,000 ดอลลาร์/เดือน จากวิธีนี้ทำให้เขามีรายได้มากกว่า $72,000 ดอลลาร์ สำหรับรายการหนึ่งคอนเทนต์ต่อปี แต่อย่าลืมว่าคอนเทนต์นั้นยังมีโฆษณาและลิงก์ของ affiliate อื่น ๆ จากตำแหน่งที่ 2
แทนที่จะทำเงินได้แค่ $500 ดอลลาร์ จากบทความที่พยายามขูดรายได้จาก affiliate คุณต้องเริ่มจัดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่าสูงในกลุ่ม niche ของคุณและเสนอขายตำแหน่งสูงสุดในบทความของคุณ เหมือนที่อดัมทำ
ลองนึกภาพว่าบล็อกของคุณจะทำเงินให้ได้มากเท่าไหร่ สมมุติว่าคุณทำแค่ 10 บทความ หรือมากกว่านั้นก็ได้ สิ่งที่คุณต้องทำคือคำนวณหาต้นทุนต่อการคลิก แล้วคิดว่าคุณจะให้สิทธิ์คลิกกับบริษัทนั้นกี่ครั้ง จากนั้นก็เสนอขายตำแหน่งแรกของพื้นที่บนหน้าเว็บของคุณ ด้วยการเสนอราคาให้ถูกกว่า Google Adwords สำหรับพวกเขาแล้ว ROI ก็ไม่เสียแล้วแถมพวกเขายังได้รับคลิกที่มีคุณภาพสูงจากคุณ แทนที่จะได้รับจาก AdWords และในทางกลับกัน คุณก็ทำเงินได้มากขึ้นด้วย
อดัมกล่าวว่า “เมื่อบล็อกของคุณสามารถทำเงินได้ คุณต้องคิดว่าแต่ละบทความของคุณเปรียบเสมือนธุรกิจขนาดเล็กของคุณเอง”
อดัมได้จำลองกลยุทธิ์นี้อันแล้วอันเล่า บนบล็อกของเขากับรายการบทความซอฟต์แวร์ตัวอื่น ๆ โดยการเสนอขายตำแหน่งที่หนึ่งตามราคาต่อการคลิก ด้านล่างนี้เป็นรายการบางบทความและอัตราค่าพื้นที่แรกที่เขาได้ขายไป มีดังนี้
นั่นเป็นรายได้จากวิธีแรก ต่อไปเราจะพาไปดูบางรายการที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎในการหาเงินจากการที่บล็อกของคุณเป็นส่วนหนึ่งของรายได้จาก affiliate และรายได้จากโฆษณา
อดัมกล่าวว่าการตั้งใจเพิ่ม Pop-Ups เพื่อให้กดออกจากระบบเป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะการโพสต์ข้อมูลหรือคำแนะนำที่มีเกี่ยวข้องกับโปรแกรม หรือผลิตภัณฑ์ที่คุณและบล็อกเกอร์มีขายอยู่บนบล็อกของคุณ อาจจะเป็นคอร์สการศึกษา เครื่องมือ SaaS ผลิตภัณฑ์อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ซึ่งอดัมเองได้วางตัว Pop-Ups ลงไปที่หัวข้อบนบล็อกของเขา เช่น จะเริ่มทำบล็อกได้อย่างไร จะหาเงินจากการทำบล็อกได้อย่างไร แนวคิดทาธุรกิจ และโพสต์ข้อมูลอื่น ๆ ที่เขาให้ตำแหน่งเขาเองว่าเป็นผู้เชี่ยชาญในด้านนั้น จุดประสงค์ส่วนใหญ่ในการใส่ตัว pop-ups ก็เพื่อขอให้ผู้ใช้เข้าร่วมในรายชื่ออิเมลของเขา โดยที่เขาโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการฝึกอบรมของเขาเอง
อดัมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือต้องไม่รวมตัว pop-ups ในโพสต์ของ affiliate เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังมองหาซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดผ่านเว็บ คนพวกนั้นจะไม่สนใจที่จะอยากเรียนรู้เรื่องบล็อกจากฉัน”
ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเขาแค่ต้องการทราบว่าซอฟต์แวร์การสัมมนาผ่านเว็บที่ดีที่สุดคืออะไร ดังนั้นโพสต์ affiliate ในกลุ่ม niche ของคุณอาจจะไม่เหมาะสำหรับรายชื่ออีเมลเสมอไป"
คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Convert Box เหมือนที่อดัมใช้เพื่อจัดการตัว pop-ups ของเขาให้ใช้อย่างเหมาะสม และจากนั้นก็ไปทำบนเพจทีละหน้า คุณยังสามารถขายจุดพื้นที่โฆษณาบน pop-ups ได้อีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่อดัมเคยทำมาก่อน
โดยปกติแล้ว รายชื่ออีเมลส่วนใหญ่คุณจะเอาไว้ใช้เพื่อขายผลิตภัณฑ์ของคุณ เพราะมันเกี่ยวกับการสร้างฐานผู้ชมและการช่วยเหลือพวกเขาด้วยการให้เนื้อหาที่พวกเขาชอบ แล้วคุณก็ขายหลักสูตรหรือขายผลิตภัณฑ์บางประเภทให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตาม โอกาสในการขายทางอีเมลมักจะเงียบหายไปหรือจบลงด้วยการมีผู้ใช้ที่ไม่ซื้อผลิตภัณฑ์เลยภายใน 6 เดือนหรือมากกว่านั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมันเงียบหายไปเฉย ๆ?
มันย่อมมีโอกาสที่จะทำเงินได้ โดยเฉพาะจากรายชื่อเหล่านั้น ถ้าพวกเขาสนใจในคอนเทนต์ของคุณ และลงทะเบียนผ่านบล็อกของคุณที่อยู่ใน niche อื่น นั่นคือเวลาที่คุณสามารถเริ่มขายตำแหน่งอีเมลที่ได้รับการสนับสนุนให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่สนใจส่งอีเมลเฉพาะให้กับผู้คนในรายชื่อนั้น
คนเหล่านี้อาจจะยังไม่ได้ซื้อจากคุณทันที เมื่อถึงเวลาคุณจะสามารถเริ่มขายตำแหน่งอีเมลที่ได้รับการสนับสนุนให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่สนใจส่งอีเมลเฉพาะให้กับผู้คนในรายชื่อนั้น
คุณสามารถเรียกเก็บเงินได้สูงสุด $2,000 ดอลลาร์ต่ออีเมล และถ้าคุณทำได้ 8 รายการต่อเดือน นั่นก็เท่ากับคุณจะมีรายได้ $16,000 ดอลลาร์ จากสิ่งที่จะไม่สร้างรายได้ หรือรายชื่ออีเมลเก่าที่มีคนไม่คิดจะซื้อ
วิธีสุดท้ายในการคิดเกี่ยวกับการสร้างรายได้จากบล็อกของคุณ คือเริ่มคิดเหมือนบริษัทสื่อ เช่น ลองคิดว่าคุณคือ Forbes, Tech Radar หรือหนึ่งในเว็บไซต์ขนาดใหญ่เหล่านี้ที่มีพนักงานจำนวนมาก ว่าพวกเขาสร้างรายได้จากชุดสื่อที่เขามีได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงขายสปอตโฆษณาแบนเนอร์ อีเมล และสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดเหล่านี้เป็นชุดหรือชุดโฆษณา เขามีวิธีที่น่าสนใจที่เราจะดูคือแพ็กเกจต่างๆ ของพวกเขาอย่าง youtube เป็นต้น
ดังนั้นการขายแพ็คเกจโฆษณาให้กับบริษัทต่าง ๆ ในทุกช่องทางสื่อที่คุณมีรวมกัน เช่น youtube, บทความในบล็อกหรือตำแหน่งของโพสต์ในรายชื่อผู้สนับสนุน รวมถึงอีเมลและวิดีโอ YouTube ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วการรวม รูปแบบการสร้างแพ็กเกจรายได้ทั้งหมดสำหรับช่องทางสื่อของคุณ แล้วเสนอขายให้กับบริษัทที่อยู่ใน niche ของคุณในราคาพิเศษ
ยังมีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ที่คุณสามารถจะทำให้ตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อออนไลน์ได้ ถ้าคุณมี traffic ที่มีจำนวนคนเข้ามาดูนับแสนครั้งบน google หรือยอดวิวในช่อง youtube ทุกเดือน เท่ากับว่าคุณปริมาณของผู้เข้าชมจำนวนมากอยู่แล้วสำหรับช่องทางของคุณ ดังนั้นคุณต้องใช้ความพยายามในการขายให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้สูงสุด เท่าที่คุณจะได้รับจากผู้ชมทั้งหมดของคุณ และให้ถือว่านี่โครงการธุรกิจสื่อออนไลน์จริงของคุณ
บทสรุป
ตอนที่อดัมเริ่มต้น เขาแทบไม่ได้ใช้ความพยายามในการขายเลย ซึ่งก็เหมือนกับบล็อกเกอร์ส่วนใหญ่ เขาเข้าร่วมกับเครือข่ายโฆษณาและ โปรแกรมaffiliate ประมาณ 2-3 โปรแกรมแค่นั้น แต่แล้วดวงตาของเขาก็เปิดกว้างขึ้น เมื่อเห็นว่าธุรกิจที่แทบจะตกต่ำตอนนั้นสามารถเปลี่ยนรายได้จาก $1,000,000 ดอลลาร์ต่อปีเป็น $10,000,000 ดอลลาร์ต่อปีได้อย่างง่ายดายถ้าหากเขาใช้ความพยายามขายให้มากขึ้น
ดังนั้นเขาจึงจ้างทีมขาย เพื่อขายพื้นที่ตำแหน่งรายชื่อบทความที่ได้รับการสนับสนุน การเจรจา การขายอีเมล เพราะสิ่งเหล่านี้เริ่มขยายใหญ่ขึ้น
เพื่อให้ทั้งหมดนี้บรรลุเป้าหมาย อดัมแนะนำให้คุณเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ แล้วค่อยขยายไปเรื่อย ๆ เพราะเมื่อปริมาณ traffic บล็อกของคุณเพิ่มขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากโฆษณาและ affiliate ก็จะยิ่งทำให้ฐานรายได้ของคุณเพิ่มขึ้นตามไปอีก คุณต้องสร้างให้ทีมของคุณเติบโตและเน้นไปที่วิธีที่สามารถสร้างรายได้ เช่นเดียวกับธุรกิจก็จะมีขนาดใหญ่ตามปริมาณลูกค้าของคุณ