ไม่ว่าจะใช้เฟรมเวิร์คไหนก็ตามในการทำธุรกิจ SaaS โดยการเฟรมเวิร์คดี ๆ ก็จะช่วยกำหนดเส้นทางไปยังจุดที่ประสบความสำเร็จที่สุด อีกทั้งยังช่วยเร่งกระบวนการช่วงเริ่มต้นธุรกิจ และลดขั้นตอนในการทำตลาด โดยที่จะลดวงจรการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สั้นลงกว่าเดิม
ในบทความนี้เราจะมาแบ่งปัน เฟรมเวิร์คดี ๆ สำหรับไอเดียการทำธุรกิจ SaaS ที่มีการแข่งขันกันต่ำ โดยคุณแอนดรูว์ โคล์ค (Andrew Cloke) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Data Fetcher คุณแอนดรูว์ได้เพิ่มรายได้จาก SaaS ของทั้ง 2 บริษัท (ทั้ง Data Fetcher และ Influencer Grid) เป็น $6,500 และ $3,500 ต่อเดือน โดยใช้เฟรมเวิร์ดที่สามารถนำมาปรับใช้ได้นี้ ทุกคนก็สามารถใช้เพื่อเริ่มต้นและวางรากฐานสำหรับเครื่องมือ SaaS ที่จะทำให้พบกับความสำเร็จ
เฟรมเวิร์คของเขาจะมีขั้นตอนดังนี้:
1. เริ่มค้นหาแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตอย่างมาก
คุณแอนดรูว์ แนะนำให้ใช้เว็บไซต์ที่ทำการวิเคราะห์เทรนด์ก่อน อย่างเช่น เว็บ Exploding Topics โดยจะกำหนดช่วงเวลา เพื่อค้นหาข้อมูลบนเครื่องมือ SaaS ที่กำลังเติบโตอย่างมากในเวลานั้น Exploding Topics จะใช้ข้อมูลจากปริมาณการค้นหาของ Google ที่เพิ่มขึ้น เพื่อแสดงหัวข้อที่กำลังเป็นกระแสหลักในช่วงเวลานั้น โดยปกติแล้ว ผมจะใช้ตัวกรองค้นหา 'ธุรกิจ' 'สตาทอัพ' หรือไม่ก็ 'เทคโนโลยี'
สำหรับในแต่ละหัวข้อ เราต้องใช้เวลาสัก 2-3 นาทีในการค้นหาหัวข้อดี ๆ เพื่อทำความเข้าใจกับหัวข้อนั้นก่อนวัน เป็นธุรกิจคืออะไร ? ผู้คนพูดถึงอนาคตของธุรกิจนี้ว่าอย่างไรบ้าง? หากเป็นบริษัทพวกเขามีเงินทุน/รายได้มากน้อยแค่ไหน?
2. เลือกเครื่องมือที่คล้ายกัน แต่เน้นเติบโตเต็มที่มากว่า
ขั้นตอนนี้จึงสำคัญที่สุดตามที่คุณแอนดรูว์ได้บอกไว้ เขาขอแนะนำให้คุณมองหาเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ (จากขั้นตอนที่ 1) ที่สามารถเลียนแบบได้ แต่ก็ต้องสลับใช้ส่วนที่สำคัญของแพลตฟอร์มที่มีอยู่ให้กับแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตด้วย ไอเดียจะมาจากการประกอบส่วนที่มีการแข่งขันต่ำมาก นั่นก็จะเป็นเครื่องมือที่จะเป็น (หนึ่งใน) เครื่องมือแรกในประเภทนี้
สถานที่ดี ๆ ที่น่าค้นหาสำหรับแรงบันดาลใจ: Product Hunt ร้านค้าแอป ตลาดในแพลตฟอร์ม เช่น Shopify Hubspot และ Monday หรือบล็อกที่เกี่ยวข้องกับในแต่ละอุตสาหกรรม หรือเว็บไซต์รีวิวซอฟต์แวร์ อย่างเช่น G2
3. สร้างเครื่องมือสำหรับการทดสอบ เท่าสำหรับแพลตฟอร์มใหม่นี้
ตัดสินใจดี ๆ ก่อนว่า ได้เลือกไอเดียที่คุณสามารถนำมาสร้างเสร็จภายใน 1 ถึง 2 เดือน เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบกับผู้ใช้จริงได้โดยเร็วที่สุด สำหรับชุด Tech Stack ให้ใช้สิ่งที่คุณถนัด เพื่อทำให้เสร็จเร็วขึ้น หากคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเลย ไอเดียที่เลือกมาก็จะมีข้อจำกัดในการสร้างมากขึ้น แต่ลองใช้เครื่องมือที่ไม่มีโค้ดแทนละกัน
4. ทำกำไรด้วยการเป็นธุรกิจแห่งเดียวในตลาด
เนื่องจากว่าคุณเลือกไอเดียธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อยมาก ๆ ในขั้นตอนที่ 2 ตอนนี้คุณก็จะมีข้อได้เปรียบก่อนใคร ๆ เลย โดยนวัตกรรมที่คุณสร้างขึ้นควรมีลูกค้าที่ต้องการซื้ออย่างแน่อน เพราะ พวกไม่มีทางเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีจ่ายเงินสำหรับมัน และนำเสนอเครื่องมือนี้ให้บล็อกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุสาหกรรมของคุณเอง อีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้คนบน LinkedIn และเปิดตัวใน Product Hunt ฯลฯ แบบนี้ก็ได้ ถ้าหากคุณสามารถได้รับลูกค้าใหม่ ๆ ในระยะแรกได้เพียงไม่กี่ราย นั่นก็พอที่จะรู้แล้วว่าวิธีนี้จะได้ผลดีรึเปล่า
บางที คุณอาจจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้บุกเบิกวงการเสมอไป - ถ้าสมมติว่าหลังจากนี้ อาจคนอื่น ๆ ก็มีไอเดียเหมือนกันกับคุณ หรืออาจลอกไอเดียคุณไปใช้เสียเปล่า ๆ — ดังนั้นต้องใช้เวลาของคุณให้คุ้มค่าที่สุด หมั่นพูดคุยกับผู้ใช้ของคุณ เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ของคุณให้แซงหน้าคู่แข่งเสมอ นอกจากนี้ ให้ลองเปลี่ยนมาทำการตลาดไปที่ SEO/YouTube/ช่องอื่น ๆ ที่สามารถขยายขนาดธุรกิจได้
ตัวอย่างธุรกิจโดยที่คุณแอนดรูว์ประสบความสำเร็จ ด้วยของเฟรมเวิร์คนี้
คุณแอนดรูว์ได้ใช้เฟรมเวิร์คนี้เพื่อบูตสแตรปสตาร์ทอัพ SaaS ทั้งสองธุรกิจ คือ Data Fetcher และ Influencer Grid (ขายไปแล้ว) โดยสร้างรายได้ประจำปีเป็นหลักหมื่นกว่าดอลล่าห์แล้ว ด้านล่างนี้คือวิธีการนำเฟรมเวิร์ดนี้ไปใช้กับเครื่องมือ SaaS ทั้งสอง:
1. Data Fetcher
ในปี 2020 คุณแอนดรูว์สังเกตเห็นว่า มีส่วนขยายของ Google Sheets ที่เรียกว่า API Connector สำหรับเชื่อมต่อ Sheet ทำงานร่วมกับ API ของบุคคลที่สาม ตอนนั้น เขาได้รู้จัก Airtable ที่เป็นคู่แข่งของ Google Sheets ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่เลย Airtable เพิ่งเปิดตลาดแอปพลิเคชันในเวลานั้น และไม่มีโปรแกรมเสริม API Connector เหมือนที่ Google มีอยู่ คุณแอนดรูว์จึงเปิดตัวแอพ Airtable ที่เอาไว้สำหรับเชื่อมต่อกับ APIs และเรียกเจ้าเครื่องมือว่า DataFetcher จนมาวันนี้ ก็มีลูกค้าเกิดขึ้นใหม่ 190 ราย และสร้างรายได้ $6,500 ต่อเดือน
2. Influence Grid
ในเดือนธันวาคม 2019 คุณแอนดรูว์ก็เริ่มสังเกตเห็นอีกแล้วว่า "TikTok" เป็นแอปที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งถูกเปิดตัวก่อนที่จะมีการล็อกดาวน์ จนตอนนี้ผู้คนต่างติด TikTok ในขณะที่ทำการวิจัยตลาดไปด้วย เขาพบว่ามันมี "เครื่องมือค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ใน Instagram" ที่สามารถค้นหาได้หลายรายเลยทีเดียว เขาจึงเปลี่ยนมาใช้ TikTok แทน Instagram และจากนั้นก็สร้างอินฟลูเอนเซอร์ให้ Grid โดยที่ใช้ "เครื่องมือค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ TikTok" นี้เพื่อช่วยแบรนด์หาอินฟลูเอนเซอร์ TikTok
ซึ่งเขาได้รับเงินระดมทุนเป็นรายเดือน $3,500 ก่อนที่จะขาย Grid ให้กับบริษัทอื่นในราคา $55,000
สรุป
ด้วยการปฏิบัติตามเฟรมเวิร์คนี้ ทำให้ คุณแอนดรูว์สามารถสร้างเครื่องมือ SaaS ที่ประสบความสำเร็จได้ตั้ง 2 เครื่องมือเลย ด้วยตลาดที่มีการแข่งขันต่ำแบบนี้ จนในที่สุดก็ฟัดรายได้ $6,500 และ $3,500 ต่อเดือน ที่เกิดขึ้นจากเฟรมเวิร์คเดิม ๆ ในการทำเครื่องมือเหล่านี้
เฟรมเวิร์คนี้ทำซ้ำได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันง่ายเหมือนกับการที่เราค้นหาแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตอย่างมาก จากนั้นดูแพลตฟอร์ม SaaS ที่มันคล้าย ๆ กันจากที่ตลาด แต่ต้องเป็นแพลตฟอร์มที่โตเต็มที่แล้ว ต่อไปก็สร้างเครื่องมือสำหรับการทดสอบได้