การสร้างหน้า Instagram สำหรับธุรกิจของคุณเป็นวิธีที่สำคัญ ในการคาดการณ์ว่าธุรกิจออนไลน์ของคุณมีอยู่จริง และเป็นวิธีที่ตรงที่สุดในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า การเข้าถึงผู้ชมใหม่ๆ และการสร้างยอดขาย
ในบทความนี้ เรากำลังแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกจาก เกร็ตต้า แวน ริล (Gretta Van Riel) ผู้ประกอบการออนไลน์ที่สร้างและดำเนินการแบรนด์อีคอมเมิร์ซหลายแบรนด์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เธอมีผู้ติดตามมากกว่า 20,000 คนในบัญชี Instagram สำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซของเธอ
เรามาตามอ่านไปด้วยกัน ว่าอะไรคือกลยุทธ์ที่แท้จริง ที่เธอใช้สอนทีมงานของเธอ และวิธีเพิ่มบัญชี Instagram ให้เป็นบัญชีธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เราจะมาเจาะข้อมูลเชิงลึกของเธอ ว่าใช้ความสามารถอะไรในการจัดการบัญชี Instagram สำหรับธุรกิจใดๆ และการขยายบัญชีเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้นและกระบวนการเพิ่มผู้ติดตาม
ก่อนที่คุณจะเริ่มทำบัญชีธุรกิจ Instagram เกร็ตต้า แนะนำให้ทุกคนต้องมีการจัดวางเป้าหมายโดยรวมให้ดี สำหรับกรณีของธุรกิจออนไลน์ อย่างอีคอมเมิร์ซ หรือธุรกิจ SaaS (การให้บริการด้านซอฟต์แวร์) เป้าหมายโดยรวมนี้ประกอบไปด้วย:
อุดมการหลักที่อยู่เบื้องหลังเป้าหมายนี้คือ การทำให้ผู้ติดตามกลายมาเป็นลูกค้าของคุณ
ตามที่เกร็ตตา ได้กล่าวเอาไว้ว่า เราต้องจัดการแยกบัญชี Instagram เป็น 2 บัญชี เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมดังนี้:
สิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าไปได้ไว คือการเปลี่ยนคำบรรยายของสินค้าหรือลบทิ้ง ถ้าจำเป็น อย่าไปยึดติดกับภาพรวมฟีดที่สวยงาม มันจะทำให้คุณไม่ก้าวหน้า และพยายามโพสให้บ่อย เพราะการโพสต์ให้สม่ำเสมอคือกุญแจสู่ความสำเร็จในอาชีพนี้
Instagram คือ ธุรกิจ และในฐานะที่เป็นธุรกิจ Instagram ก็อยากจะเก็บผู้ใช้ใว้บนแพลตฟอร์มของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะมันมีผลต่อรายได้จากจำนวนโฆษณาที่เข้ามาและมันเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ โดยพื้นฐานแล้ว เป้าหมายหลักของ Instagram ก็คือการบรรลุผลสำเร็จ ที่เขาต้องปรับเปลี่ยนอัลกอลิทึ่ม ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่า พวกเขาจะสามารถเก็บรักษาผู้ใช้ใว้บนแพลตฟอร์มของเขาให้ได้นานๆ
มีข้อเท็จจริง 7 ประการที่ส่งผลกระทบกับอัลกอลิทึ่มของ Instagram ตามที่เกร็ตตากล่าว ประกอบไปด้วย:
ในขณะที่คุณกำลังตั้งค่าบัญชีเพื่อเริ่มต้นนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องปรับแต่งบัญชีเพื่อแปลงให้มันมีประสิทธิภาพ ในขึ้นตอนนี้ คุณจะต้องตั้งค่าเริ่มต้นเนื้อหาหน้าฟีด bio หรือประวัติของผลิตภัณฑ์ และเพิ่มลิงค์ไปยัง bio
หน้าฟีดนี้ต้องดูสวยงามสำหรับผู้ชม มันต้องทำให้พวกเขารู้สึกคล้ายกับว่าพวกเขามีโอกาสน้อยที่ได้ติดตามเพื่ออยากจะซื้อสินค้าจากแบรนด์ของคุณ เพราะว่าหน้าฟีดของคุณมันแสดงให้พวกเขาเห็นไม่บ่อย เลยทำให้พวกเขาดูไม่เหมือนที่จะเป็นผู้ติดตามที่แท้จริง
ในส่วนเนื้อหาของผลิตภัณฑ์ต้องมุ่งไปที่ข้อเสนอของคุณค่ากับผู้ใช้กับผลิตภัณฑ์ของคุณ หลักฐานทางสื่อสังคม และลิงค์หลักที่เชื่อมโยงไปยังผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
ไฮไลท์ของเรื่องจะช่วยเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ชมของคุณและทำให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่พวกเขาจะสนใจ คุณอาจจะสาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ทางโซเซียล และอาจจะมีรีวิวเนื้อหาติชมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ ซึ่งเป็นข้อความที่รับรองได้จากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณก่อนหน้านี้ อาจปรากฏข้อความอยู่ในหน้าฟีดของคุณ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับความไว้ใจจากผู้ชม
มันเป็นความคิดที่ดีที่จะนึกถึงเรื่องราวอะไรที่ทำให้น่าสนใจขึ้นมาได้ เพื่อใช้ในการวัดศักยภาพของแบรนด์กับสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม niche ของคุณ เพื่อเป็นการทดสอบการทำงานของระบบ Instagram ด้วยว่าดีแค่ไหน ทีนี้คุณก็สามารถที่จะบันทึกและทำเลียนแบบอันที่ดีที่สุดออกมาให้เป็นเรื่องราวไฮไลท์ของคุณแทน
คุณจะต้องเพิ่มไอคอนในหน้าสตอรี่ของคุณ เพื่อเพิ่มไฮไลท์แต่ละรายการด้วยธีมที่สอดคล้องกัน เพื่อให้โปรไฟล์ของคุณดูสอดคล้องกับแบรนด์
แนวความคิดของสตอรี่ไฮไลท์มีดังนี้:
หมายเหตุ: อย่าแชร์สตอรี่ของ Influencer ที่มีโค้ดลดราคาติดอยู่ด้วย เพราะว่าถ้าคุณแชร์สตอรี่พวกนั้นออกไป คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าโค้ดลดราคาเหล่านั้นถูกใช้ไปกี่ครั้งแล้ว และโค้ดพวกนั้นก็จะมาในนามของ Influencer
ตอนนี้เราก็ผ่านเนื้อหาของการตั้งค่าโปรไฟล์ไปแล้ว หลังจากนี้เราก็จะไปต่อในเรื่องที่เกร็ตตาอ้างถึงก่อนหน้านี้ คือเรื่องขอบเขตของเนื้อหา โดยพื้นฐานแล้วสิ่งเหล่านี้มันจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ของเนื้อหาที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดแนวการคิดในการโพสต์
ตามที่เกร็ตตากล่าว ขอบเขตของเนื้อหามีอยู่ 5 ประเภท:
คุณก็แค่สร้างโพสต์ของคุณให้มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน โดยการจัดอันดับได้จากเนื้อหาของผู้ใช้ และเนื้อหาของInfluencer ด้วย เนื้อหาเหล่านั้นจะก่อให้เกิดความสู้สึกทางอารมณ์ แบบที่แยกจากกันไม่ได้
ประเภทของการโพสต์เล่าเรื่อง ทีมงานโพสต์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้คนก็ให้รวมอยู่หมวดหมู่นี้
สิ่งนี้ประกอบไปด้วยข้อเสนอที่คุณมีให้ อย่างเช่น การขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร หรือมูลค่าของข้อเสนอที่ไม่เหมือนใคร คุณค่าของสินค้า การเล่าเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของคุณ และเนื้อหาส่งเสริมการขายแบบอื่นๆ
อาจจะรวมไปถึงแคมเปญการตลาดต่างๆ เราอาจจะปล่อยแคมเปญ Black Friday, หรือเราจะปล่อยแคมเปญลดราคาช่วงวาเลนไทน์ หรือกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ แล้วแต่ตามหน้าเทศกาล แต่ห้ามลืมที่จะต้องมีของแจกรวมอยู่ด้วยจะดีมาก
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเพิ่มคุณค่าและศักยภาพเพจของให้กับผู้ติดตาม โดยการให้ความรู้กับพวกเขาไม่ใช่แค่กับผลิตภัณฑ์ของเราเท่านั้น เราสามารถที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้ากลุ่ม niche ให้ทั่วทั้งกลุ่ม
ถ้าหากว่าสินค้าของคุณเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนในด้านมุมมองเพื่อความยั่งยืน หรือถ้าหากว่าเนื้อหาของคุณให้พลังในด้านสังคม ก็จัดอยู่ในหมวดนี้เหมือนกัน
เนื้อหาตัวนี้สร้างมาเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับลูกค้าและแบรนด์ ดังนั้น เนื้อหานี้จะประกอบไปด้วย มีมตลกๆ หรือคำพูดที่ติดตลก คงไม่มีแบรนด์ไหนทำสินค้าตัวเองให้ซีเรียสอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งนี้จะทำให้คุณมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ กับผู้ชมของคุณ
คุณอาจจะได้เห็น ขอบเขตของเนื้อหาทั้ง 5 ที่กล่าวมาแล้ว อาจจะทำให้คุณคิดเนื้อหาสาระอะไรดีๆ ออกมาได้มากมาย โดยที่ไม่มีสดุด เพราะว่าคุณจะไม่มีวันที่จะคิดเนื้อหาไม่ออก คุณสามารถที่จะใช้เนื้อหาเหล่านั้นแตกแยกออกไป เพื่อหาความสมดุลให้กับเนื้อหาแต่ละเรื่องได้
การโพสต์ภาพสินค้าเป็นความจำเป็นอย่างมากกับพื้นที่ตรงนี้ คุณสามารถที่จะใช้เป็นโพสต์หลักและโพสต์รองเพื่อให้มีส่วนร่วมก็ยังได้
ขณะที่จัดการบัญชีธุรกิจบน Instagram คุณควรมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มมูลค่า สร้างความไว้วางใจ และการกระทำที่สร้างแรงบันดาลใจเสมอ การกระทำนั้นอาจเป็นการกระทำตามการมีส่วนร่วมหรือการกระทำตาม Conversion มีขั้นตอนสำคัญสองสามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการบัญชี Instagram ทุกวันได้แก่:
1. การหาคอนเท้นต์มาโพสต์
การหาคอนเท้นต์ หรือเนื้อหามาโพสต์บน Instagram จะไม่ยากอีกต่อไป เพราะมันไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อหาเดิมของคุณเองตลอดเวลา คุณสามารถแชร์ซ้ำหรือปรับแต่งเนื้อหาจาก Instagram ได้ตราบใดที่คุณให้เครดิตเจ้าของเนื้อหาคนเก่าอยู่เสมอ ซึ่งคุณสามารถหาคอนเท้นต์ได้จากแหล่งเหล่านี้:
เมื่อคุณเจอคอนเท้นต์ที่คุณสนใจแล้ว คุณสามารถส่งมันไปในกลุ่มสมาชิกของคุณได้อีกที หรือจะบันทึกเก็บสะสมไว้ภายใต้ บันทึกโพสต์ Instagram
2. การบันทึกเนื้อหาเก็บที่เก็บสะสมไว้
เมื่อคุณเจอคอนเท้นต์ที่คุณชอบ คุณสามารถที่จะบันเก็บไว้ในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง ที่จะช่วยให้จัดการกับฟีดของคุณได้ คุณสามารถที่จะตั้งชื่อให้แต่ละขอบข่ายของแต่ละคอนเทนต์
เนื้อหาที่ดีที่สุดสำหรับฟีดของคุณจะเป็นเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเสมอ เป้าหมายนี้คือการระบุเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของคุณโดยดูจากประเภทของโพสต์ที่ทำงานได้ดีที่สุดในอดีตในบัญชีของคุณ เพื่อให้คุณใช้โพสต์ได้
ซึ่งมันฟังดูดีนะ แต่หลายคนไม่ทำ ถ้าคุณใช้วิธีการแบบนี้ คุณจะได้รับการติดต่อและการมีส่วนร่วมในโพสต์ของคุณได้มากขึ้น ดังนั้นแบรนด์ของคุณจึงเป็นที่รู้จักมากขึ้น
How to Find Your Top Content เราจะหาสุดยอดเนื้อหาดีๆ ของเราได้อย่างไร
ในขบวนการนี้จะนำเราให้รู้ข้อมูลเชิงลึกของคุณ และหลังจากนั้น ภายใต้แท็ปเนื้อหา ไปที่โพสต์และกดปุ่มเพื่อให้ทุกคนได้เห็น คุณจะค้นหาได้จาก ตัวอย่างโพสต์ หกเดือนที่ผ่านมา และคุณยังสามารถจัดเรียงตามตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เช่น การเข้าถึง การมีส่วนร่วม การแชร์สิ่งที่คุณบันทึกไว้ ฯลฯ การคลิกเว็บไซต์
การคลิกที่เว็บไซต์เป็นทางเลือกที่ดีในการค้นหา ก็เพราะว่ามันจะแสดงให้คุณเห็นยอดจำนวนคนเข้ามาชมเว็บไซต์ นั่นเป็นเพราะเนื้อหาของคุณดี เพราะว่าเป้าหมายของคุณคือการนำเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายมาที่เว็บไซต์และทำให้กลายเป็นลูกค้าของแบรนด์สินค้าของคุณ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ การระบุความเหมือนระหว่างเนื้อหาที่แสดงศักยภาพได้ดี และเนื้อหาที่ได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน เมื่อคุณค้นพบความเหมือนกันเหล่านั้น คุณก็จะมีข้อมูลให้เลือกว่าคุณจะโพสต์อะไรเพิ่มเติมในครั้งต่อไป
Viral Content เนื้อหาที่เป็นกระแส
การโพสต์เนื้อหาที่เป็นกระแสซ้ำๆ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้บัญชีของคุณมีคนเข้าถึงบัญชีได้เยอะ คุณสามารถเข้าถึงกระแสได้ง่าย ด้วยการอับโหลดอะไรที่กำลังเป็นกระแสเพื่อให้บัญของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น
การหาเนื้อหาที่กำลังเป็นกระแส มันง่ายมากแค่คุณเข้าไปค้นหาในเพจ และให้สังเกตุพวกบัญชีที่มียอดไลค์เยอะๆ ตัวอย่างเช่น บัญชีที่มียอดไลค์ 800 อาจจะมีบางโพสต์ที่การคลิกไลค์ถึง 2000 ไลค์ก็เป็นไปได้ หลังจากนั้นคุณก็รู้แล้วว่า เนื้อหาอะไรที่ผู้ชมให้การชอบหรือสนใจเป็นพิเศษ
ดังนั้น คุณก็สามารถดำเนินการต่อได้โดยการโพสต์สิ่งนั้นอีกครั้งในบัญชีของคุณ โดยให้เครดิตแหล่งที่มา วิธีนี้ได้ผลจริงๆ เพราะ Instagram ใช้ซอฟต์แวร์จดจำภาพเพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับเนื้อหาที่เป็นไวรัล หรือเป็นกระแสในตอนนั้น
ดังนั้น Instagram จึงจะสามารถบอกคุณได้ว่าโพสต์นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในอดีตหรือไม่ และมีแนวโน้มที่จะทำให้คนเข้าถึงโพสต์นั้นได้มากขึ้นเมื่อคุณแชร์ซ้ำ
Captions คำบรรยาย
นอกจากเนื้อหารูปภาพ/วิดีโอบน Instagram แล้ว คำบรรยายยังเป็นสมการที่เหลืออีก 50% อีกด้วย ที่จะช่วยให้คนที่ไม่รู้จักเลื่อนเพื่อหยุดดูภาพที่คุณโพสต์ จากนั้นก็จะสดุดที่คำอธิบายภาพของคุณ ที่จะดึงพวกเขาให้หยุดอ่าน หรืออาจจะแปลงให้พวกเขามีแนวโน้มชอบมากขึ้น
คำบรรยายภาพมักจะถูกลืมไปบางจริงๆ ในบางครั้งเราจำเป็นต้องเข้าใจให้แน่นอนว่าคำบรรยายภาพบน Instagram เป็นอีกโอกาสหนึ่งในการเชื่อมต่อกับผู้ชมของคุณ ทำให้เพิ่มมูลค่าของสินค้า และให้เกิดการรกระตุ้นในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าของคุณ
แนวคิดคำอธิบายภาพส่วนใหญ่ที่คุณควรลอง จัดอยู่ในหมวดหมู่ต่อไปนี้:
สำคัญมากที่จะใส่คำกระตุ้นการตัดสินใจลงไปในคำบรรยาย หรือคุณอาจะใส่ “Click the link in the bio” เพื่อเชิญชวนพวกเขาให้เข้าไปดูประวัติสินค้าหรือเรื่องราวของคุณ, หรือ “Tag a friend” แทกชื่อเพื่อน, หรืออะไรก็ได้ที่กระตุ้นให้ผู้ชมเห็นแล้วเกิดความอยากที่จะดูหรืออยากซื้อสินค้าของคุณ
Hashtags แฮชแทกส์
“คนส่วนมากไม่รู้ว่า hashtag จะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับคอนเท้นต์ หรือพวกเขาไม่ได้ไส่มันลงไปในคอนเทนต์มากพอ ขอบอกตามตรงว่า บางโพสต์ของฉันที่มีคนเข้ามาดูเยอะ ก็เพราะ hashtags นี่แหละ ใครจะรู้ได้ว่าบางครั้ง hashtags อาจจะทำให้โพสต์ของคุณกลายเป็น-กระแสขึ้นมาก็ได้” เกร็ตตา กล่าว
คุณสามารถที่จะใส่ hashtags สัก 30 คำ เพราะมันจะช่วยให้คนเข้าถึงโพสต์คุณได้ง่าย หรือคุณจะใส่แค่ hashtags เหล่านั้นไปในคอมเม้นต์ของโพสต์คุณแทน มันจะไม่ทำให้คำบรรยาย ของคุณดูรกอีกด้วย
คุณสามารถหา hashtags ที่มีความเกี่ยวข้องกับ niche ของคุณได้ อย่างเช่นเว็บไซต์ displaypurposes.com ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะใช้คีย์เวิร์ดให้หลากหลายเพื่อที่คำเหล่านั้นมันเกี่ยวเนื่องกับ hashtags ของคุณ อย่างเช่นคุณขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบ้าน คุณก็สามารถที่จะใส่ hashtags ที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งภายในลงไป เพื่อที่จะให้มันกระจายเป็นวงกว้าง
บทสรุป
นี่คือสิ่งที่เกร็ตตาใช้ สอนทีมโซเซียลมีเดียของเธอ เพื่อจัดการบัญชี Instagram ในวงกว้าง ทีมของเธอใช้บัญชีธุรกิจ Instagram มากกว่า 20 บัญชีที่มีผู้ติดตามเป็นล้านคน สำหรับเกร็ตตาและลูกค้าของเธอ บางส่วนนี้รวมถึงร้านค้าอีคอมเมิร์ซ ที่มีมูลค่า 7-8 หลักอย่าง Calming blankets, The Oodie และอื่นๆ อีกมากมาย
สุดท้ายนี้ พวกเราหวังเป็นอย่างมากว่า คุณคงได้ประโยชน์จากบทความนี้ และช่วยให้คุณนำไปทดลองทำตามได้ไม่มากก็น้อย